JMART วางเป้ารายได้ปีนี้โต 10% เชื่อดีล “KB Kookmin” ช่วยลดต้นทุน-หนุนธุรกิจสินเชื่อ
JMART วางเป้ารายได้ปีนี้โต 10% เชื่อดีล "KB Kookmin" ช่วยลดต้นทุน-หนุนธุรกิจสินเชื่อ
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า หลังจาก KB Kookmin Card Co., Ltd บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตการ์ด และสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เข้าร่วมทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล โดยซื้อหุ้นเพิ่มทน 650 ล้านบาท ถือสัดส่วน 49.99% ส่งผลให้สถานะการเงินของกลุ่ม JMART แข็งแกร่ง
โดยได้รับความช่วยเหลือจาก KB ทำให้ต้นทุนการเงินของ เจ ฟินเทค ลดลง 1-2% จาก 4.5% ส่งผลให้บริษัทสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้ ขณะที่ JMART จะได้รับเงินคืนจาก เจ ฟินเทค จำนวน 3 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังได้รับเทคโนโลยีจาก KB ทั้ง แอพพลิเคชั่น , เทคโนโลยีบล็อกเชน รวมทั้งเข้าทำธุรกิจบัตรเครดิต ที่ KB มีองค์ความรู้ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
สำหรับแผนธุรกิจภายหลังจากการร่วมทุนครั้งนี้ เจ ฟินเทค ตั้งเป้าเป็นผู้นำ1 ใน 5 ของธุรกิจสินเชื่อ และบัตรเครดิตในประเทศไทย จะเร่งการปรับโครงการทำงานให้ก้าวสู่การเป็นบริษัทสินเชื่อ เป็นสถาบันการชั้นนำของประเทศตามมาตรฐานของ KB Kookmin Card และการผสาน Synergy กับ Ecosystem ของกลุ่มบริษัทเจมาร์ท โดยการทำการตลาดที่เข้มข้นขึ้น เจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ Young Generation รวมถึงการขยายฐานลูกค้าบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และบริการทางการเงินอื่นๆ ตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้ อีกทั้งยังมีการนำเอาเทคโนโลยีทางการเงิน มาใช้ในการดำเนินงานของเจ ฟินเทค ในอนาคต ซึ่งรวมถึงบริษัทจะได้แหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนทางการเงินที่ลดลงในอนาคตจากการมีผู้ถือหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน
ทั้งนี้ ในช่วง 1-2 ปีแรก กลุ่ม JMART ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ โดยยังดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถที่นำทะเบียนรถจำนำ ในปีที่ 3 เริ่มทำธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งมองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีการใช้บัตรเครดิตมากขึ้น ลูกค้าจะคุ้นเคยการใช้ออนไลน์เพิ่มขึ้น และคาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตเป็นหลักหมื่นล้านบาท
สำหรับแผนการเข้าร่วมลงทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.63 KB Kookmin Card Co., Ltd และเจ ฟินเทค จะดำเนินการหาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพื่อมาทดแทนเงินกู้จากบริษัทเจมาร์ท มูลค่า ณ สิ้นปี 62 กว่า 2,700 ล้านบาท และภายหลังจากการเข้าร่วมทุนครั้งนี้จะทำให้ผู้ถือหุ้นทั้งสองจะช่วยกันหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงสำหรับ เจ ฟินเทค เพื่อสามารถแข่งขันได้กับอุตสาหกรรม และสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น
“KB Kookmin Card เป็นบริษัทบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ภายใต้ KB Financial Group โดยถือเป็นสถาบันการเงินแรกและครั้งแรกที่เข้ามาลงทุนธุรกิจการเงินในประเทศไทยในบริษัท Non-Bank เพื่อขยายฐานลูกค้า และต่อยอดการเติบโตร่วมกัน ตามยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจของ KB Financial Group ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนความเชื่อมั่น ของกลุ่มเจมาร์ท และ บริษัทย่อย มีฐานการเติบโตที่ดี จึงเป็นอีกบิ๊กดีลของบริษัทฯ และวงการธุรกิจการเงินในประเทศอีกด้วย
นอกจากนั้น ยังคาดว่าจะสามารถต่อยอดประโยชน์ร่วมกันได้อีกมาก ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการเงินในธุรกิจบัตรเครดิต และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเจมาร์ทเป็น Platform ของการ Synergy ให้กับ KB Kookmin Card ทั้งในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย โดยหน้าร้านเจมาร์ท เจเอเอส แอสเซ็ท และซิงเกอร์ และ Platform การจัดเก็บหนี้อันดับ 1 ประเทศ โดยเจเอ็มที จะสามารถสร้างให้บริษัทเจฟินเทค เป็นบริษัทที่มีศักยภาพมากขึ้น และแข็งแรงยิ่งขึ้นในประเทศไทย” นายอดิศักดิ์ กล่าว
โดย ปัจจุบัน เจ ฟินเทค มีทุนจดทะเบียน 1,220 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 122 ล้านหุ้น (จำนวนหุ้นสามัญเดิมก่อนลดทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ (Par) 10 บาท ซึ่งชำระแล้วเต็มจำนวน ดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้แบรนด์ “J Money” สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มเจมาร์ทก่อนสละสิทธิ์เพิ่มทุนร้อยละ 100 และสัดส่วนหุ้นที่ถือภายหลังสละสิทธิ์เพิ่มทุนราวร้อยละ 50 ด้านงบการเงินรวมปี 2562 เจ ฟินเทค มีรายได้ 867.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 66.9 ล้านบาท
ขณะที่ KB Kookmin Card เป็นบริษัทย่อย 100% ของบริษัท KB Financial Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้ ธุรกิจหลักของ KB คือ ประกอบธุรกิจให้บริการบัตรเครดิต บริการทางการเงิน สินเชื่อ ลิสซิ่ง และบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ดังนั้น การร่วมทุนในเจ ฟินเทค ครั้งนี้ จะทำให้เจมาร์ทมีพันธมิตรทางด้านการเงินที่แข็งแกร่ง เข้ามาขยายธุรกิจสินเชื่อ และสะท้อนความน่าเชื่อถือ และศักยภาพของกลุ่มเจมาร์ท
สำหรับในปีนี้ JMART ยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 10% และกำไรสุทธิโต 25% เพราะบริษัทมีต้นุทนการเงินต่ำลง และการแพร่ระบาดโควิด-19 ไม่มีผลกระทบต่อกลุ่มเพราะบริษัทได้เปลี่ยนมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ที่สถานการณ์โควิด-19 น่าจะคลี่คลาย หรือสถานการณ์ไม่น่ารุนแรงมากนัก
ขณะเดียวกัน การขยายสาขาในห้างสรรพสินค้าคงไม่ได้ขยายเพิ่มเติมแน่นอน และอาจจะปิดสาขาบางแห่ง เพราะเชื่อว่าหลังสถานการณ์โควิด พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สาขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้าง การขยายสาขาอาจทำได้หลายรูปแบบ โดย JMART ขายโทรศัพท์มือถือในช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ส่วนที่ JMART ได้รับเงินคืนจาก เจ ฟินเทค 3 พันล้านบาท ซึ่งเตรียมที่จะนำไปจ่ายคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงปลายปีนี้ วงเงิน 590 ล้านบาท ที่มีดอกเบี้ย 4.0-4.5% ที่เหลือจะหาแนวทางลงทุนธุรกิจซึ่งยังไม่ได้กำหนด และนำไปใช้ธุรกิจที่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง 0.5เท่า มาที่ 2 เท่า
สำหรับ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) คาดว่าในปีนี้กำไรสุทธิจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% และได้เตรียมวงเงินเช้าซื้อหนี้ NPLs จำนวน 4.5-5.0 พันล้านบาท เพราะเห็นโอกาสเข้าซื้อหนี้หลังเห็นแนวโน้มหนี้ NPLs เพิ่มขึ้นที่เริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาส 3-4 ปี 62 และในไตรมาส 1/63 ได้เช้าซื้อหนี้แล้ว 6 พันล้านบาท