3 โบรกฯ ประสานเสียง “ซื้อ” PTT ชี้ Q2 ขาดทุนสต๊อกฯลด ลุ้นวิ่งแตะเป้า 44 บ.

3 โบรกฯ ประสานเสียง “ซื้อ” PTT ชี้ Q2 ขาดทุนสต๊อกฯลด ลุ้นวิ่งแตะเป้า 44 บ.


“ผู้สื่อข่าว” ได้รวบรวมบทวิเคราะห์ ที่แนะนำการลงทุนในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT หลังจากประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งมีขาดทุนสุทธิเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า PTT ถือเป็นหุ้นปลอดภัย สามารถที่จะเข้าลงทุนได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ บล.ไทยพาณิชย์ ระบุในบทวิเคราะห์ (12 พ.ค.2563) ว่า PTT รายงานขาดทุนสุทธิ 1.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/63 น้อยกว่าคาด โดยได้รับการสนับสนุนจากกำไรที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากอนุพันธ์ทางการเงิน แม้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าคาด กำไรจากการดำเนินงานลดลงสู่ระดับติดลบที่ 3.5 พันล้านบาท เพราะถูกฉุดรั้งโดยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นซึ่งได้รับผลกระทบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอและขาดทุนสต๊อกจำนวมาก

โดยเชื่อว่าผลการดำเนินงาน PTT ไตรมาส 2/2563 จะยังอ่อนแอ และผลกระทบโควิด-19 มีให้เห็นมากขึ้น อย่างไรก็ตามมองว่า PTT ยังเป็นตัวเลือกลงทุนที่ปลอดภัยท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมันในปัจจุบัน และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท หรือคิดเป็น PBV 1.4 เท่า ซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปี

ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 38.50 บาท/หุ้น โดยมองว่าถึงแม้ไตรมาส 1/63 ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ -1.6 พันล้านบาทจากทั้งผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันจำนวนมากของธุรกิจโรงกลั่น และการอ่อนตัวลงของธุรกิจก๊าซและธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจากผลกระทบ COVID-19

ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 2/63 ฟื้นตัวได้ แต่ไม่เด่นเท่าบริษัทลูกที่ทำธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ยังแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 38.5 บาท เพราะอัตราเงินปันผลยังดี, และมีประเด็นบวกจากการทำ IPO หุ้น OR

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ถือ” PTT ราคาเป้าหมาย 37 บาท/หุ้น โดยระบุว่า บริษัทรายงานขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1/63 เท่ากับ 1.55 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดไว้ 7% และแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะมีกำไรสุทธิ 4.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ในในไตรมาส 2/63  มีกำไรสุทธิ 29.3 พันล้านบาท และในในไตรมาส 4/62 มีกำไรสุทธิ 4.7 พันล้านบาท

โดยปัจจัยกดดันมาจาก ผลขาดทุนของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีของบริษัทในเครือ เช่น IRPC, PTTGC, TOP และ PTTEP มีกำไรสุทธิลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำ และอุปสงค์ชะลอตัวจากพิษโควิด รวมทั้งมีขาดทุน FX 5.1 พันล้านบาท & ขาดทุนสต็อกจากธุรกิจน้ำมันค้าปลีก 3.7 พันล้านบาทในไตรมาสนี้

สำหรับ แนวโน้ม ไตรมาส 2/63 คาดว่าจะดีขึ้น จากไตรมาสก่อน เพราะค่าการกลั่นฟื้นตัวจากราคาน้ำมันดิบลดลง, ความผันผวนของราคาน้ำมันน้อยลงทำให้จะขาดทุนสต็อกไม่มากเท่ากับไตรมาสแรกปีนี้, สเปรดปิโตรเคมีกลุ่มโอเลฟินส์ดีขึ้นจากต้นทุนที่ต่ำลง (แต่อะโรเมติกส์อ่อนลง)

รวมถึงผลกระทบจากรายการ FX น้อยลงด้วย แต่บางส่วนจะถูกชดเชยด้วยราคา NGV ลดลงเพราะรัฐบาลขอให้บริษัทช่วยอุดหนุนลดผลกระทบกับประชาชน ซึ่งทำให้ธุรกิจ NGV จะขาดทุนเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/63 และอุปสงค์น้ำมันที่ต่ำในช่วงโควิดแพร่ระบาด

หมายเหตุ : สเปรด HDPE และ PP เพิ่มขึ้น 34% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน และ 14% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ตามลำดับ ส่วนการค่ากลั่นยังลดลง นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันแต่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของไตรมาส

ทั้งนี้ แนะนำถือ ทาง DBS ให้ราคาพื้นฐาน 37 บาท (sum-of-parts) ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับขึ้นมาแล้ว 28% นับตั้งแต่กลางมี.ค.63 สะท้อนการลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสและการผ่อนคลายล็อกดาวน์ไปแล้วพอควร

Back to top button