5 โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” DELTA ลุ้นกำไรไตรมาส 2 แกร่งกว่าคาด รับออร์เดอร์พุ่ง-เงินบาทอ่อน
5 โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” DELTA ลุ้นกำไรไตรมาส 2 แกร่งกว่าคาด รับออร์เดอร์พุ่ง-เงินบาทอ่อน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ภายหลังราคาหุ้น DELTA ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ 78.25 บาท บวก 8.75 บาท หรือ 12.59% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 691.32 ล้านบาท
โดยพบว่า นักวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” DELTA ราคาเป้าหมาย 85 บาท/หุ้น คาดว่า DELTA จะประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/63 และงวดปี 2563 แข็งแกร่งกว่าคาด จากความต้องการพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูล อีกทั้งเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์แหล่งสะสมพลังงานของ EV ท่ามกลางแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการผลิตกระแสไฟฟ้าของยานพาหนะ
ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” DELTA ราคาเป้าหมาย 81 บาท/หุ้น คาดรายได้ของ DELTA ที่ 438 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.39 หมื่นล้านบาท คงที่เมื่อเทียบจากปี 2563 เนื่องจากผลของ COVID-19 ที่กระทบกลุ่มยานยนต์ แต่เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากงานประเภท Data Center และกลุ่มสื่อสารจากอุปสงค์ของการ Steaming และการทำงาน – เรียนจากบ้านที่เพิ่มขึ้น โดยอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนเป็น 23% จากสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ และต้นทุนการขนส่งที่ลดลงจากช่วงไตรมาส 1/63
ทั้งนี้คาดว่าอุปสงค์ของ Data Center จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/63 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากงานระบบเครือข่าย, พัดและระบบเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบจากงวดครึ่งปีก่อน จากแผนกระตุ้นของ EU และโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น จากทั้ง EU และ US ทำให้รายได้ในสกุลเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น 5.5% และ 1.3% เป็น 1.69 พันล้านบาท และ 1.87 พันล้านบาท ตามลำดับ พร้อมปรับอัตรากำไรเพิ่มขึ้นเป็น 22.2% และ 23% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น และงานของ DELTA ไต้หวัน
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” DELTA ราคาเป้าหมาย 80.25 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองบวกต่อการดำเนินงานของบริษัทว่าจะเพิ่มขึ้นสวนทางกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันและยังเติบโตได้ดี อีกทั้งคาดจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปหนุนยอดขายชิ้นส่วนรถยนต์ให้ฟื้นตัว
ทั้งนี้คาดไตรมาส 2/63 กำไรโต แม้ยอดขายเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนที่ 444 ล้านเหรียญ แต่คาดกำไรเพิ่มขึ้น 38% ที่ 1,179 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายกลุ่ม ODM และเป็นสินค้าhi-end ในกลุ่ม Data center, เงินบาทอ่อนค่า และ 3 ) ปัญหาวัตถุดิบคลี่คลายลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายขายและบริหารคาดเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยกว่ายอดขายเนื่องจากไม่มีค่าลิขสิทธิ์จากยอดขายที่ผลิตให้กลุ่มไต้หวันไม่มาก
ขณะเดียวกันแนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลังคาดดีกว่าที่เคยคาดทั้งจากฤดูกาลและยังได้ผลจากยอดขายกลุ่ม EV car เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปและการออกโมเดลใหม่ที่เลื่อนการออกช่วงก่อนหน้า, กลุ่มnetworking คาดดีขึ้นจากนำไปใช้ในกลุ่ม consumer และ 3) ยอดขายกลุ่ม Regional จะดีขึ้น ทางฝ่ายปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 63 ขึ้นจากเดิม
รวมถึง นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” หุ้น DELTA และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 80 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 43.00 บาท โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/63 ของ DELTA จะอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากยอดคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีตามสัดส่วนยอดขายสินค้า ส่งผลให้กำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกปี 2563 จะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท คิดเป็น 69% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเราที่ 2.8 พันล้านบาท
นอกจากนี้ยังคาดว่าโมเมนตั้มมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งต่อเนื่องในครึ่งปีหลังปี 2563 ทำให้บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2563-2564 ขึ้นอีก 19%
อีกทั้ง นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น DELTA ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 80 บาท โดยแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/63 ดูดีกว่าที่เคยคาด น่าจะเติบโต 35% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเติบโต 33% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็น 1.16 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส โดยสินค้ากลุ่ม Data center (25% ของรายได้รวม) ซึ่งมีมาร์จิ้นดี ขายดี จากการเติบโตสูงของธุรกิจที่เกี่ยวกับ Cloud computing
ขณะที่แนวโน้มดีต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2563 เริ่มมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าของลูกค้ากลุ่ม EV car (10% ของรายได้รวม) ส่วนหนึ่งมาจากคำสั่งซื้อที่เลื่อนมาจากช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้บล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้ปรับกำไรปี 2563-2564 ขึ้น 20-25% เป็นเติบโต 32% และ 36% ตามลำดับ สูงกว่ากลุ่ม