ทริสเรตติ้งคงเครดิต CWT ที่ BB+ แนวโน้ม Stable หลังปรับแผนชำระหนี้หุ้นกู้-เสริมสภาพคล่อง
"ทริสเรตติ้ง" คงเครดิต CWT ที่ BB+ แนวโน้ม Stable หลังปรับแผนชำระหนี้หุ้นกู้-เสริมสภาพคล่อง
บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการประกาศอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้มอันดับเครดิต โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ทริสเรทติ้ง) ซึ่งรายงานเผยว่า “ทริสเรทติ้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรของ พร้อมทั้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BB+” และกำหนดแนวโน้มอันดับเครดิตให้เป็น “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย
โดยผลอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระยะสั้นที่ลดลง หลังจากที่บริษัทสามารถขยายระยะเวลาครบกำหนดหุ้นกู้ CWT205A และชำระคืนหุ้นกู้ CWT209A ได้ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน” อันถือเป็นแผนกลยุทธ์หนึ่งที่บริษัทปรับดำเนินการเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นกู้ในการแก้ไขข้อกำหนดและเงื่อนไขของหุ้นกู้ CWT205A มูลค่า 337.1 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว บริษัทได้ชำระคืนยอดคงค้างจำนวน 30% หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 101.13 ล้านบาท ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 235.97 ล้านบาทได้ขยายระยะเวลาออกไป 1 ปีเป็นครบกำหนดวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 นอกจากนั้น บริษัทยังสามารถชำระคืนหุ้นกู้ CWT209A มูลค่า 294.3 ล้านบาทที่ครบกำหนดในวันที่ 1 กันยายน 2563 ได้ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน
ด้านนายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT เผยว่า “ด้วยธุรกิจหลักและดังเดิมของ CWT คือธุรกิจฟอกหนัง ที่ดำเนินงานมาอย่างยาวนาน CWT ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการฟอกหนังรายใหญ่ของประเทศที่สามารถจัดทำผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบคุณภาพสูงได้อย่างมีมาตรฐาน
ทำให้ได้งานจากกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ แน่นอนว่าออเดอร์จากกลุ่มลูกค้าจะส่งผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัท ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาจำนวนออเดอร์จากลูกค้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่บริษัทมีความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนานและรู้จักตลาดวัตถุดิบหนังเป็นอย่างดี
ประกอบกับเราคอยตรวจเช็คและบริหารจัดการเรื่องราคาต้นทุนของวัตถุดิบอยู่เสมอ จึงไม่ได้รับผลกระทบด้านการบริหารจัดการราคาวัตถุดิบมากนัก เราสามารถบริหารจัดการธุรกิจฟอกหลังให้มีสัดส่วนกำไรอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้อย่างน่าพอใจเช่นเดิม หากแต่ผลประกอบการโดยรวมในปี 2563 ย่อมจะลดลงไปบ้างจากจำนวนออเดอร์ที่ลดลงอย่างชัดเจนตามกระแสในปัจจุบัน”
นายวีระพล กล่าวอีกว่า “ด้านธุรกิจพลังงานที่บริษัทเริ่มเข้าไปดำเนินการ ก็ยังเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้เป็นอย่างดี มีรายได้มั่นคงและต่อเนื่อง ซึ่งช่วงกลางปี 2563 ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าลงนามบริหารจัดการขยะชุมชนให้กับเทศบาลนครนครสวรรค์ อันจะเป็นโครงการต้นน้ำเพื่อพัฒนาสู่การทำ โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิง RDF ในพื้นที่ใกล้เคียงและโครงการอื่นๆต่อไป
ทั้งนี้บริษัทได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ศึกษาถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิง RDF ทั้งวางแผนป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาที่ไม่อาจคาดคิดเช่นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนไว้แล้ว เพื่อป้องกันผลผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทและชุมชนให้น้อยที่สุด”
“ด้านธุรกิจน้องใหม่ในวงการยานยนต์ของประเทศไทย ที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุนอย่าง “บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด” นั้น ปัจจุบันกำลังเติบโตไปได้อย่างก้าวกระโดด ด้วยเป็นธุรกิจที่น่าสนใจของผู้ผลิตสัญชาติไทย ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นและทีมบริหารเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตรถและเรือตัวถังอะลูมิเนียมที่ได้มาตรฐานระดับสากลมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนและร่วมลงทุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เพื่อพัฒนาและผลักดันให้นวัตกรรมทันสมัยแบรนด์ไทยลงแข่งขันสู่ตลาดสากลได้ ซึ่ง ‘สกุลฎ์ซี’ กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในวงการยานยนต์ เพราะเพียงในเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าสามารถผลิตยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าต่อการลงทุนพัฒนา ซึ่งปี 2563 นี้ก็ทยอยส่งมอบหลายๆงานสำคัญให้กับทางภาครัฐและเอกชนไปแล้วและจะมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในฐานะผู้ร่วมลงทุนเราจะรับรู้รายได้มากขึ้นอย่างชัดเจนช่วงปี 2564-2565”
ทั้งนี้ตามรายงานจากทริสเรทติ้ง คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมจะฟื้นตัวในปี 2564 และแตะระดับ 2.4 พันล้านบาทในปี 2565 จากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อเบาะหนังรถยนต์และรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจเรือและมินิบัสที่ทำด้วยอะลูมีเนียม