SPCG แรลลี่ยาว! บวกอีก 6% นิวไฮรอบ 13 เดือน มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า 5 พันลบ.
SPCG แรลลี่ยาว! บวกอีก 6% นิวไฮรอบ 13 เดือน มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า 5 พันลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ณ เวลา 12.10 น. อยู่ที่ระดับ 22.00 บาท บวก 1.30 บาท หรือ 6.28% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 168.95 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮในรอบ 13 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 22.30 บาท เมื่อวันที่ 24 ต.ค.62
โดยก่อนหน้านายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า มั่นใจผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และจะพยายามให้รายได้เติบโตทุกปีไม่น้อยกว่า 10% ซึ่งในปี 2564 คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,500 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทยังดำเนินกลยุทธ์ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะช่วยรักษาอัตราการทำกำไรไม่ต่ำกว่า 10%
นอกจากนี้ขอยืนยันว่าการผลิตไฟฟ้าทุกหน่วยปัจจุบันยังสามารถขายได้ทั้งหมด มิใช่เป็นการผลิตมากกว่าความต้องการของตลาด ซึ่งในปี 2563 บริษัทตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้า 390 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งงวด 9 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.ย. 63) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าแล้ว 292.7 MW จึงเชื่อว่าจะสามารถผลิตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ และในปี 2564 ตั้งเป้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 390 MW แม้บริษัทจะมีข้อจำกัดเรื่องแผงโซลาร์เซลล์ แต่จะพยายามบริหารจัดการให้สามารถผลิตเพิ่มขึ้นหรือไม่ต่ำกว่าเดิม
ส่วนการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 MW ที่เป็นการร่วมทุนของ 8 บริษัท ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ในลำดับที่ 2 ประมาณ 17.92% นั้น บริษัทต้องร่วมลงทุน 2,700 ล้านบาท ซึ่งในปี 2563 บริษัทได้ลงทุนไปแล้ว 1,300 ล้านบาท และปี 2564 จะลงทุนในส่วนที่เหลืออีก 1,400 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโซลาร์ฟาร์ม Ukujima นั้น บริษัทได้ใช้เงินกู้จากประเทศญี่ปุ่น ระยะเวลากู้เงิน 12 ปี เบื้องต้นประเมินว่าผลตอบแทนจากการจำหน่ายไฟฟ้าจะไม่ต่ำกว่า 7-8% ของเงินลงทุน โดยมีแผนที่จะจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนกรกฎาคม 2566 ในราคา 40 เยนต่อหน่วย ระยะสัญญา 17.25 ปี
ด้านนางสาวรุ่งฟ้า ลาภยืนยง ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและงบประมาณ SPCG เปิดเผยว่า กรณีที่สิทธิประโยชน์การได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) 10 ปีของบริษัท จะทยอยหมดอายุลงตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปี 2567 โดยในปี 2563 มีโรงไฟฟ้า 1 แห่งที่ Adder จะหมดอายุลง คือ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (โคราช 1) จำกัด กำลังการผลิต 5.88 MW / ปี 2564 จะมีโรงฟฟ้า 4 แห่ง กำลังการผลิตรวม 23.52 MW ที่ Adder จะหมดอายุ / ปี 2565 จะมีโรงไฟฟ้า 4 แห่ง กำลังการผลิตรวม 23.52 MW ที่ Adder จะหมดอายุ /ปี 2566 มีโรงไฟฟ้า 14 แห่ง กำลังการผลิตรวม 76.56 MW ที่ Adder หมดอายุ และปี 2567 มีโรงไฟฟ้า 13 แห่ง กำลังการผลิตรวม 76.44 MW ที่ Adder จะหมดอายุ ซึ่งหลังจาก Adder หมดลงแล้ว ราคาค่าไฟฟ้าต่อหน่วยจะอยู่ที่ประมาณ 3.20 บาท ซึ่ง SPCG จะใช้กลยุทธ์ปรับลดค่าใช้จ่ายดำเนินการและบำรุงรักษาให้ต่ำกว่า 3.20 บาทต่อหน่วย เพื่อรักษาอัตราการทำกำไรไม่ให้ต่ำกว่า 10%