SUSCO คาดปี 64 ยอดขายน้ำมันโต 20% ตั้งงบ 550 ลบ.ขยายสาขา-ดัน non-oil
SUSCO คาดปี 64 ยอดขายน้ำมันโต 20% ตั้งงบ 550 ลบ.ขยายสาขา-ดัน non-oil
นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายน้ำมันในปี 64 เติบโต 20% จากปีก่อน แม้ปัจจุบันยังเผชิญกับปัจจัยการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศรอบใหม่กดดัน แต่มองว่าความชัดเจนของวัคซีนโควิด-19 ที่เริ่มมีการใช้แล้ว และทางภาครัฐเตรียมนำเข้ามาฉีดให้กับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้เร็วที่สุด จะทำให้ปัจจัยโควิด-19 จะคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วในระยะต่อไป ผู้คนก็จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีการเดินทางมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น
ขณะที่การเติบโตของบริษัทในปีนี้ได้กลับมาขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาชะลอแผนการลงทุนขยายปั้มน้ำมันออกไปจากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 64 บริษัทเตรียมขยายสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) ให้ครบ 260 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 240 แห่ง โดยปั๊ม 20 แห่งใหม่จะเน้นขยายในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลักเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยในช่วงครึ่งปีแรกจะมีการเปิดปั้มน้ำมันใหม่ราว 10 แห่ง พร้อมทั้งมีแผนปรับปรุงปั๊มน้ำมันเดิมอีก 50 แห่งให้มีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากปีก่อนปรับปรุงปั้มน้ำมันเดิมไปแล้ว 30 แห่ง
ทั้งนี้ในส่วนร้านค้าในปีนี้จะเดินหน้าขยายร้านสะดวกซื้อ Lawson108 ในปั้มให้ครบใน 60 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ในปั๊ม 38 แห่ง พร้อมกับเพิ่มร้านค้าพันธมิตรที่บริษัทจะเน้นการลงทุนเองเป็นหลัก เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการที่ปล่อยเช่าพื้นที่ในปั้ม ซึ่งจะมีการขยายร้านพันธมิตรเพิ่มขึ้น เช่น KFC, SUBWAY, D’Oro และ STARBUCKS เป็นต้น เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในปั้มเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มกำไรจากธุรกิจ Non-oil ภายใน 3 ปีให้ขึ้นไปแตะ 100 ล้านบาท
สำหรับเงินลงทุนในปี 64 บริษัทตั้งงบไว้ราว 550 ล้านบาท จากแผนการใช้เงินลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 64-68) ที่ 2 พันล้านบาท ซึ่งมีเป้าหมายขยายปั้มน้ำมันของบริษัทให้ครบ 300 สถานี เงินลงทุนของบริษัทจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีเพียงพอ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน ซึ่งบริษัทยังมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง แม้ว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 บ้างก็ตาม
ด้านการขายน้ำมันส่งออกของบริษัทในปี 64 มองว่ายังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากปีก่อน จากความต้องการใช้น้ำมันในต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวกลับมา แม้ว่ายังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ เพราะยังมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้น เป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวอยู่บ้าง แต่ถือว่าปริมาณการขายยังทำได้ในระดับที่ดี และกลับมาเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ปริมาณการขายน้ำมันส่งออกหดตัวไป 10% โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจนี้ และเน้นการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
ส่วนการขายน้ำมันอากาศยาน (Jet) ยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้กับธุรกิจ เพราะปริมาณการขายหดตัวลง 100% จากการที่ภาคการท่องเที่ยวหยุดชะงัก และยังไม่สามารถเปิดประเทศเข้ามาให้ท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก เพราะโควิด-19 ยังแพร่ะระบาดอยู่ แม้ขณะนี้จะมีการบินในประเทศกลับมาบินได้บ้างแล้ว แต่เป็นการขายในสัดส่วนที่น้อยมากเพียง 20% จากการขายปกติ เพราะไม่ได้มีการใช้น้ำมันอากาศยานจากสายการบินต่างประเทศที่เข้ามาเสริม
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากเริ่มมีการเปิดประเทศกลับมาอีกครั้ง ความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้อย่างดี ซึ่งปัจจุบันยังคงต้องรอความชัดเจนว่าจะสามารถเปิดประเทศได้เมื่อไหร่ และในส่วนของบริษัทสิ่งที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการต้นทุนและปริมาณสต๊อกน้ำมันอย่างประสิทธิภาพ เพื่อทำให้บริษัทสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดี และมีความเสี่ยงที่ลดลง
“ตอนแรกเรามองว่าปีนี้ธุรกิจจะดีกว่าปีก่อนมาก แต่พอโควิด-19 กลับมาระบาดตั้งแต่ต้นปีเราก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็ดูสถานการณ์ไปก่อนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจริงๆเราพร้อมรุกขยายธุรกิจในปีนี้มาก หลังจากที่ปีก่อนชะลอแผนการขยายไป ทำให้ผนการลงทุนถูกเลื่อนมา แต่ก็ยังมองว่าหากโควิด-19 รอบนี้คลี่คลายลงแล้ว ความต้องการใช้น้ำมันก็จะกลับมาดีขึ้นอีก แม้ว่าในไตรมาสแรกซึ่งเป็นช่วง High Season จะกระทบจากโควิด-19 ทำให้เรามองว่าการขายน้ำมันไตรมาสแรกนี้อาจจะชะลอตัวลงไปบ้าง เพราะคนชะลอการเดินทาง และทำงานที่บ้านกัน แต่หากโควิด-19 คลี่คลายเร็ว ก็คงเริ่มกลับมาปกติ และปีนี้ราคาน้ำมันเริ่มฟื้นตัวขึ้นก็ส่งผลบวกต่อ Bottom Line ของบริษัทด้วย”นายชัยฤทธิ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปี 64 บริษัทมองว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 65-70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากการที่ผู้ผลิตน้ำมันรายหญ่ของโลกเริ่มลดกำลังการผลิตน้ำมันลง และความต้องการใช้น้ำมันกลับมาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันเริ่มดีดตัวกลับขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนผลการดำเนินงานให้กับบริษัทได้
ส่วนความพร้อมในการยกเลิกให้บริการน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 หากหน่วยงานภาครัฐเตรียมที่จะยกเลิกการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เพื่อสนับสนุนให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 มากขึ้นในช่วงกลางปี 64 นี้ บริษัทมองว่าประเด็นดังกล่าวไม่กระทบต่อการปรับเปลี่ยนหัวจ่ายน้ำมันของบริษัท และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงาน แต่มองว่าแนวทางของหน่วยงานภาครัฐในการให้ผู้ใช้รถยนต์ปรับตัวก่อนยกเลิกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 นั้น จะเป็นการปรับเพิ่มราคาขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ให้เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ก่อน เพื่อทำให้ผู้ใช้เลือกเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 แทน และหลังจากนั้นค่อยยกเลิก ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการและผู้ใช้
สำหรับเทรนด์ใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นนั้น ปัจจุบันบริษัทมีสถานี EV Charging ให้บริการ 22 สาขา โดยมีแนวโน้มขยายเพิ่มสาขาในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลอีก 10 สาขา สำหรับรถยนต์กลุ่ม BEV และ PHEV คาดว่าใน 64 นี้จะมียอดขายราว 40,000-50,000 คัน หรือขยายตัว 20% ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักของตลาด BEV ในอนาคต คือ การที่ภาครัฐและเอกชนจะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาด
ด้านกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดในปี 64 ได้ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิก SUSCO Smart Member เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านราย จากปัจจุบันมี 1.4 ล้านราย โดยในช่วงปลายปี 63 ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ช่องทาง Line OA @SUSCO เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้บริโภค มุ่งเน้นการดูแลลูกค้าสมาชิกด้วยการเพิ่มมูลค่า (Privilege) ต่างๆ ทั้งจากคู่ค้าในสถานีบริการ อาทิ Lawson108 รวมไปถึงคู่ค้าอื่นๆ ส่วนแคมเปญการตลาด ช่วงไตรมาส 2/64 และไตรมาส 3/64 บริษัทมีแผนจัดกิจกรรมชิงโชค (Lucky Draw) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานีบริการโฉมใหม่ ภายใต้แนวคิด “SUSCO Fuel Your Day เติมพลังให้วันของคุณ” เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ในเมืองให้มากยิ่งขึ้น จากเดิมใช้สโลแกนภายใต้แนวคิด “น้ำมันไทย ที่คุณมั่นใจ”
ทั้งนี้ บริษัทยอมรับว่าผลกระทบจากโควิด-19 ในปี 63 ที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายน้ำมันของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 8% ที่ตั้งไว้ เพราะรับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงของการล็อกดาวน์ ทำให้ปริมาณการขยายน้ำมันลดลงมาอย่างมาก แม้ว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลังจากเปิดล็อกดาวน์แล้วก็ตาม และยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลงมากในปีก่อน ทำให้ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาอาจจะชะลอตัวลงไป แต่ในภาพรวมการบริหารจัดการต่างๆของบริษัทที่มประสิทธิภาพ ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 63 ที่จะประกาศในช่วงต้นเดือน ก.พ.นี้ยังมีกำไรได้