“อรรถพล” เผยสหรัฐฯยกเลิกท่อน้ำมัน Keystone XL ไม่กระทบ PTTEP เหตุยังไม่มีการลงทุน

“อรรถพล” เผยสหรัฐฯยกเลิกท่อน้ำมัน Keystone XL ไม่กระทบ PTTEP เหตุยังไม่มีการลงทุน


นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า หลัง นายโจ ไบเดน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2564 และเตรียมออกนโยบายควบคุมการผลิตและใช้น้ำมันในอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐฯ ต่างๆ เช่น การกลับเข้าสู่กลุ่มประเทศข้อตกลงปารีส

รวมทั้งการยกเลิกการอนุญาตโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL จากแคนาดามายังรัฐมอนทานา เซาท์ดาโกตา ไปจนถึงรัฐเนบราสกาของสหรัฐฯ นั้น คงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มากนัก เนื่องจากโครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ในแคนาดา ยังไม่ได้มีการลงทุนอะไร และอยู่ระหว่างการบริหารจัดการที่เหมาะสม

ขณะเดียวกัน ปตท.สผ.ก็ได้ปรับตัวด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนมากขึ้น ล่าสุดต้นทุนการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 28-29  เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมที่เคยสูงกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้น

“สหรัฐฯ ยังมีคำสั่งให้ทบทวนปรับเปลี่ยนมาตรฐานการปล่อยคาร์บอนของรัฐบาลชุดที่แล้ว รวมทั้งยกเลิกโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ขนส่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งประเด็นเหล่านี้จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯ กลับมาให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทน ซึ่งตลาดกำลังติดตามว่าจะมีการเก็บภาษีน้ำมัน (ฟอสซิล) หรือไม่อย่างไร ประเด็นเหล่านี้จะส่งผลต่อการผลิต shale oil  และ shale Gas ให้มีต้นทุนสูงขึ้น และกำลังผลิตจากสหรัฐฯ จะลดลง” นายอรรถพล กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปตท.ยังไม่ปรับเป้าประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ โดยยังคงไว้ที่ประมาณ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  แม้นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ จะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ และได้ลงนามในเอกสารที่ส่งถึงสหประชาชาติในเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อกลับเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสอีกครั้ง

นอกจากนี้หากสหรัฐฯส่งเสริมพลังงานทดแทนมากขึ้น ย่อมทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ขณะเดียวกันปัจจัยสำคัญของราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับการระบาดโควิด-19 ซึ่งต้องดูว่าวัคซีนที่ทยอยออกมานั้น จะสามารถควบคุมโรคได้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งความร่วมมือของกลุ่มโอเปกพลัส ว่าจะจับมือกันต่อเนื่องเพื่อคุมราคาน้ำมันหรือไม่

ด้านทีมวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม ขานรับนโยบายภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มต่อ หลังนายโจ ไบเดน เตรียมออกนโยบายควบคุมการผลิตและใช้น้ำมันในอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐฯ ต่างๆ เช่น การกลับเข้าสู่กลุ่มประเทศข้อตกลงปารีส การยกเลิกการอนุญาตโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ในรัฐเนบราสก้า และการระงับแผนการขุดเจาะน้ำมันในมหาสมุทรอาร์กติก

นอกจากนี้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ โดยเฉพาะมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยนายโจ ไบเดน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2564

โดยสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) เผยเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 487.1 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล

Back to top button