PTG วางเป้า “อีบิทด้า” ปีนี้โต 15% ทุ่ม 4 พันลบ. ขยายธุรกิจ รักษามาร์เก็ตแชร์เบอร์ 2

PTG วางเป้า “อีบิทด้า” ปีนี้โต 15% ทุ่ม 4 พันลบ. ขยายธุรกิจ รักษามาร์เก็ตแชร์เบอร์ 2


นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG นำเสนอข้อมูลผลประกอบการงวดปี 2563 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ว่า ผลประกอบการสำหรับปี 2563 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63) บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 1,894.04  ล้านบาท เติบโต 21.9%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,560.67 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและการตลาดที่อยู่ในระดับปกติ ประกอบกับมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตามภาพรวมการบริโภคน้ำมันในปี 2563 ลดลง 1.2% เทียบจากปี 2562 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ขณะที่การบริบริโภคน้ำมันผ่านสถานีบริการ (Retail Consumption) ปี 2563 เติบโต 0.2% เทียบจากปี 2562 ส่วนภาพรวมการบริโภค LPG  ในปี 2563 อยู่ที่ 6,235 ล้านบาท ลดลง 11.4%  เทียบจากปี 2562 โดยแบ่งเป็นการบริโภค Household LPG ลดลง 4.3% เทียบจากปี 2562  และ Auto LPG ลดลง 28.5% เทียบจากปี 2562 ส่วน Industrial LPG ลดลง 7.2% เทียบจากปี 2562 นอกจากนี้ยอดจำหน่ายน้ำมันในปี 2563 อยู่ที่ 4,959 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 5.9% เทียบจากปี 2562 อยู่ที่ 4,681 ล้านลิตร

นอกจากนี้ในปี 2563 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นเบอร์ 2 ผ่านการจำหน่ายน้ำมันในทุกช่องทางของประเทศอยู่ที่ 14.2% โดยทิ้งห่างเบอร์ 3 อยู่ที่ 12.8% และในปีนี้คาดว่าส่วนแบ่งการตลาดในทุกช่องทางจะอยู่ที่ 15-15.5% และส่วนแบ่งการตลาดการขายผ่านสถานีน้ำมันปี 2563 จะอยู่ที่ 18-18.5%  

ส่วนผลประกอบการในปีนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นสร้างกำไรที่สม่ำเสมอและยั่งยืน รวมถึงการรักษาส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เป็นอันดับ 2 ผ่านการจำหน่ายน้ำมันในทุกช่องทางของประเทศ และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

รวมถึงการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมโอเลโอ เคมิคอล (Oleo Chemical) เป็นต้น จากโครงการ Palm Complex ที่ปัจจุบันสามารถดำเนินโครงการได้เต็มกำลังการผลิต และมีแผนขยายการให้บริการธุรกิจพลังงานทดแทนอื่นๆ เพื่อตอบรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและนโยบายของประเทศที่สนับสนุนพลังงานทดแทนมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร และสามารถดูแลลูกค้าให้ “อยู่ดี มีสุข” ตามวิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัทฯ ที่วางไว้

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตอยู่ที่ 10-15% เนื่องจากบริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมน้ำมันภาพรวมต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

ซึ่งมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 4,959 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเติบโต 5.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน จึงทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้โต 8-12% รวมถึงปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15-20% จากการขยายสถานีบริการแก๊ส LPG ที่เพิ่มขึ้น ครอบคลุมการให้บริการที่มากขึ้น

ส่งผลให้ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาการให้บริการทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) รวมเป็น 3,160 สาขา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีสาขารวมทั้งหมด 2,850 สถานี โดยคาดว่าจะเพิ่มสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊มน้ำมัน) จากเดิม 1,888 สาขา เพิ่มเป็น 2,030 สาขา และสถานีบริการแก๊ส LPG เพิ่มขึ้นจาก 206 สาขา เป็น 260 สาขาภายในสิ้นปีนี้

รวมถึงการขยายศูนย์บริการรวม (Touchpoint) ซึ่งเป็นธุรกิจ Non-Oil เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ร้านคอฟฟี่เวิลด์ ร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ท (Max Mart) รวมถึงศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษรถยนต์ออโต้แบคส์ (Autobacs)  และอื่นๆ รวมเป็น 870 สาขา จากปี 2563 ที่มีศูนย์บริการรวม 756 สาขา ซึ่งหลักๆ จะเป็นการขยายสาขาของร้านกาแฟพันธุ์ไทย เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้บริษัทฯได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนดังกล่าวกว่า 4,000-4,500 ล้านบาท สำหรับขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจหลัก ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน รวมถึงธุรกิจใหม่ ซึ่งคาดว่างบสำหรับการขยายสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG อยู่ที่ 3,000-3,500 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ Non-Oil จำนวน 500 ล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และที่เหลืออีกประมาณ 500 ล้านบาท เป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่

Back to top button