LEO มั่นใจผลงานปีนี้โต 25% รับอีคอมเมิร์ซสดใส เดินหน้าสร้างรายได้โตแตะ 2 พันลบ. ในปี 66

LEO มั่นใจผลงานปีนี้โต 25% รับธุรกิจอีคอมเมิร์ซสดใส รับวิถี "New Normal" เดินหน้า M&A ต่อเนื่อง หวังสร้างรายได้โตแตะ 2 พันลบ. ในปี 66


นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO นำเสนอข้อมูลในงานริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดปี 2563 นับเป็นปีที่ดีของบริษัทฯ โดยมีผลประกอบการที่ดี มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผลประกอบการทำนิวไฮตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 30 ปี โดยมีรายได้รวมปี 2563 จำนวน 1,126.3 ล้านบาท ประกอบด้วย การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือ (SEA Freight) อยู่ที่ 779 ล้านบาท ขณะที่การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (AIR Freight) อยู่ที่ 174.5 ล้านบาท ส่วนการบริการด้านบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Intergrated Logistics Service) อยู่ที่ 165.8 ล้านบาท และธุรกิจให้บริการพื้นที่ (Self-Storage) อยู่ที่ 7 ล้าบาท

ด้านนายมานพ ปัจวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน LEO เปิดเผยว่า กำไรขั้นต้นในปี 2563 อยู่ที่ 330 ล้านบาท อัตราการทำกำไรขั้นต้นประมาณ 29% โดยอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2560-2563) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 7.21% ส่วนกำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ระดับ 57.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7 ล้านบาท หรือ 22.8% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 47.03 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2560-2563) มีการเติบโตรวม 48.20%

ทั้งนี้ นายเกตติวิทย์ กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทเชื่อว่าจะมีการเติบโตอย่างน้อย 20-25% โดยคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซในช่วง New Normal รวมถึงการส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าที่เป็นตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, เอเชีย, ยุโรป จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ในปี 2564 บริษัทจะดำเนินการตามแผนธุรกิจตอนเข้า IPO ได้แก่ การเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่เพื่อเริ่มธุรกิจ Self Storage ซึ่งจะอยู่ที่เยาวราช รวมถึงการหาลานพื้นที่เก็บตู้คอนเทนเนอร์ก็มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยคาดว่าจะได้รับการสรุปจากคณะกรรมการบริษัทฯภายในเดือนเม.ย.64 ในการเข้าเซ็นสัญญา อีกทั้งการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ ที่กำลังดำเนินการ คาดว่าจะได้ผลสรุปภายในปีนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพูดคุยกับบริษัทภายในประเทศอีก 2-3 บริษัท

อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท ภายในปี 2566

สำหรับการร่วมทุน (JV) กับ Cardinal UK ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมากกว่า 20 ปี จัดตั้งบริษัท คาร์ดินัล มาริไทม์ (ประเทศไทย) (Cardinal Maritime Thailand) เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเน้นการพัฒนาตลาดในประเทศอังกฤษและยุโรปเหนือ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วน 51% ขณะที่ Cardinal UK ถือในสัดส่วน 49% นั้น ปัจจุบัน Cardinal Group มีสาขาในประเทศจีน, เวียดนาม, สิงคโปร์ และแอฟริกาใต้ โดยมียอดขายของกลุ่มในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 150 ล้านปอนด์ หรือ 6,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าการจัดตั้ง Cardinal Maritime Thailand จะสามารถเพิ่มจำนวนตู้ในการส่งออกและนำเข้าจากประเทศไทยในปี 2564 ได้อย่างน้อยอีก 100% หรือเท่ากับมีปริมาณตู้เป็น 4,000 ตู้ต่อปี

Back to top button