SISB อยู่ในช่วงของการเติบโต

SISB เป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะ 2-3 ปีข้างหน้าที่แนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานการขยายสาขา


คุณค่าบริษัท

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย และส่งผลกระทบในหลายอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้นักลงทุนกลับมาปรับพอร์ตการลงทุน โดยหลายคนเริ่มมองหาหุ้น “หลุมหลบภัย” อย่างหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดโควิด หุ้นที่มีการปรับตัวรับวิถีปกติใหม่ (New Normal) และหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานไวรัสยังควบคุมสถานการณ์ได้ยากในช่วงระยะสั้น

ดังนั้น ในตัวของบริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ใช้หลักสูตรการศึกษาของประเทศสิงคโปร์เป็นหลักสูตรพื้นฐาน โดยได้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน ปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติภายในกลุ่มบริษัท 5 โรงเรียน

ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าที่แนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น ตามแผนงานการขยายสาขาของ SISB

อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา แต่กลุ่ม SISB ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ สอดรับ New Normal โดยการเปิดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด

อีกทั้ง ผู้บริหาร SISB คาดว่าปี 2564 จะมีจำนวนนักเรียนใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 200 คน ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในรอบปี 2564 มีโอกาสที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และสถานการณ์ต่าง ๆ จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในเร็ววัน อีกทั้งปีการศึกษาใหม่คาดว่าจะมีจำนวนนักเรียนใหม่เพิ่มขึ้น และมีการเปิดโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี เฟส 2 ในช่วงปลายปีนี้

โดยการขยายโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี เฟส 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดรับนักเรียนเพิ่มได้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการรองรับนักเรียนเต็มที่เพิ่มขึ้นอีก 600 คน

ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างโรงเรียน SISB ในจังหวัดนนทบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ เตรียมการก่อสร้างโรงเรียนเพิ่มในที่ดิน 14.8 ไร่ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ช่วงกลางปี 2564 และพร้อมรับนักเรียนใหม่ช่วงเดือนสิงหาคม 2565

นอกจากนี้ ยังมีดีล M&A ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของ SISB เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ในส่วนของการเข้าร่วมลงทุนโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้มีจำนวนนักเรียนมากขึ้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 3/2564 หรือภายในช่วงครึ่งปีหลัง โดย SISB ไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มเพื่อใช้สำหรับการเข้าร่วมลงทุน เพราะมีกระแสเงินสดเพียงพอ

ขณะที่ทางบล.ทิสโก้ มองว่า แผนขยายสาขาธนบุรีเฟส 2 ที่จะเปิดในเดือน ส.ค.ปีนี้ ช่วยเพิ่ม capacity รองรับนักเรียนเพิ่ม 600 คน รวม capacity ทุกสาขารองรับได้ 4,565 คน และในปีหน้าจะยังเติบโตต่อเนื่องจากการเปิดสาขาใหม่นนทบุรี ที่รองรับนักเรียนได้ 1,000 คน

สำหรับจุดคุ้มทุนโครงการใหม่นนทบุรี ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น บริษัทคาดไม่เกิน 7 ปี โดยงบลงทุนสาขานนทบุรีในเฟส 1 ประมาณ 400 ล้านบาท ที่ระดับอนุบาล-ประถม และคาดจะใช้งบลงทุนน้อยลงในการเปิดนนทบุรีเฟส 2 ซึ่งคาดจะเปิดได้หลังจากเปิดเฟส 1 แล้วประมาณ 4-5 ปี รองรับนักเรียนระดับมัธยมเพิ่มขึ้น

ส่วนดีลร่วมทุน (M&A) เป็นโครงการ daycare nursery สำหรับเด็กเล็กอายุ 6 เดือน-3 ปี คาดจะทราบผลในไตรมาส 3 นี้ บริษัทมองเป็นโอกาสต่อยอดเสริมธุรกิจโรงเรียน SISB ในอนาคต และบริษัทยังมองโอกาสในการขยายโรงเรียนกลุ่มใหม่ในระดับค่าเทอมที่รองลงมาหรือต่ำกว่า 2.5 แสนบาท/ปี (SISB ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 4 แสนบาท) เพื่อขยายกลุ่มนักเรียนใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าและยังสามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ในต่างจังหวัดได้

พร้อมกับคาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2564 ได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 2 ในช่วง ม.ค. และบริษัทได้มีการปรับขึ้นค่าเทอมตั้งแต่ ม.ค. 2564 เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับปี 2563 ที่มีฐานค่าเทอมปกติ ทำให้ค่าเทอมเฉลี่ยปี 2564 คาดอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 466,000 บาท

ประกอบกับ คาดกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากงวดเดียวกันของปีก่อน คาดรายได้อยู่ที่ 1,308 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากคาดนักเรียนเพิ่มขึ้น 188 คน จากสาขาเดิมและสาขาธนบุรีที่ขยายเฟส 2 เพิ่มขึ้น และต้นทุนค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นปีละ 30 ล้านบาท

รวมทั้งคาดกำไรปี 2565 อยู่ที่ 377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการคาดรวมสาขาใหม่นนทบุรีเฟส 1 ที่คาดจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ส.ค. 2565 คาดต้นทุนค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นปีละ 20 ล้านบาท รวมถึงต้นทุนบุคลากรครูที่คาดเพิ่มขึ้นตามจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 14.00 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. MR.YEW HOCK KOH 308,720,000 หุ้น 32.84%
  2. น.ส.วิลาวัณย์ แก้วกนกวิจิตร 266,620,400 หุ้น 28.36%
  3. น.ส.นงค์นภา ทองมี 94,433,400 หุ้น 10.05%
  4. นายประยงค์ วนิชสุวรรณ  80,330,000 หุ้น 8.55%
  5. บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 32,457,500 หุ้น 3.45%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายนนทิกร กาญจนะจิตรา ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  3. น.ส.วิลาวัณย์ แก้วกนกวิจิตร กรรมการ
  4. นายมีชัย ประเสริฐศรี กรรมการ
  5. นายฉัตรพี ตันติเฉลิม กรรมการอิสระ, ประธานกรรมการตรวจสอบ

Back to top button