LALIN อวด Q1 กำไรพุ่ง 320 ลบ. ทุ่มงบ 7 พันลบ. ลุยผุด 12 โครงการใหม่ปีนี้

LALIN อวดกำไรสุทธิไตรมาสแรก 320 ลบ. พร้อมบริหารความเสี่ยงรัดกุม ด้าน D/E เพียง 0.64 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาด ส่วนปีนี้วางเป้าเปิด 10-12 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,000 ลบ.


นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิลพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า แม้จะมีปัจจัยลบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง จากกลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งเริ่มระบาดตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ต่อเนื่องมายังต้นปี 2564 นี้ แต่ LALIN ก็มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ  เน้นตลาดกลุ่มคนที่มีความต้องการในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจริง(Real Demand)และใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นสร้างความสามารถในการแข่งขัน  โดยใส่ใจทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้า คุณภาพของการบริการ  ตลอดจนการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อส่งมอบบ้านให้กับลูกค้าได้ในราคาที่คุ้มค่า จึงช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันได้แม้ในสภาวะที่ตลาดโดยรวมยังไม่เติบโต

โดยในไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ สามารถบริหารงานได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้  ซึ่งมียอดรับรู้รายได้จากการขายที่ 1,524 ล้านบาท ขยายตัว 21.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงถือว่าเป็นการเติบโตที่สวนทางกับภาวะอุตสาหกรรมที่หดตัวลง

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงความสามารถในการจัดการราคาต้นทุนต่างๆ ทั้งรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยมีตัวเลขอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 39.1% ในขณะที่การบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น  มีการใช้ E-Marketing ที่เพิ่มมากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายในการขายต่อยอดขาย ปรับลดลงจาก 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 4.5% ในไตรมาสปัจจุบัน  ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 320 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 29.4%

ส่วนในแง่การบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงิน  ซึ่งบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม มีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลายทั้งระยะสั้นและระยะยาวตลอดจนมีวงเงินสำรองที่ยังไม่เบิกใช้อีกกว่า 2,500 ล้านบาท  โดยบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง แม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนขยายโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นไตรมาสแรก เพียง 0.64 เท่า  จึงนับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่า

สำหรับส่วนของแผนขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่จำนวน 10 – 12 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเปิดโครงการเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่จะทยอยปิดไป  ทั้งนี้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 3,550 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ รวมเป็นมูลค่าโครงการทั้งสิ้นราว 4,600 ล้านบาท

อนึ่งการขยายธุรกิจ บริษัทมีการดำเนินการด้วยระมัดระวัง มีการทยอยเปิดโครงการเพื่อประเมินผลตอบรับของตลาด มีการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดระลอกสามเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

Back to top button