โคขวิดเหลื่อมล้ำ

ประยุทธ์น่าจะเป็นขวัญใจนักเก็งกำไร ใช้กลยุทธ์ประโคมข่าวดีจัดอีเว้นท์กลบความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ จองวัคซีนช้า พอได้มาก็จัด “วาระแห่งชาติ” พิธีกดปุ่มเปิดป้ายแบบไทย ๆ ผสมการตลาด นายกฯ เปิดงาน รัฐมนตรี ข้าราชการผู้ติดตามพรึ่บพรั่บ หมอจะลงเข็มฉีดวัคซีนก็ต้องรอลุงให้โอวาทก่อน


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

ประยุทธ์น่าจะเป็นขวัญใจนักเก็งกำไร ใช้กลยุทธ์ประโคมข่าวดีจัดอีเว้นท์กลบความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ จองวัคซีนช้า พอได้มาก็จัด “วาระแห่งชาติ” พิธีกดปุ่มเปิดป้ายแบบไทย ๆ ผสมการตลาด นายกฯ เปิดงาน รัฐมนตรี ข้าราชการผู้ติดตามพรึ่บพรั่บ หมอจะลงเข็มฉีดวัคซีนก็ต้องรอลุงให้โอวาทก่อน

เสียดายวาระแห่งชาติขัดข้องทางเทคนิค โรงพยาบาลต่างจังหวัดหลายแห่งเลื่อนนัด เพราะมีวัคซีนให้ฉีดแค่วันแรก วันถัด ๆ ไปส่งไม่ทัน อันที่จริงก็อธิบายได้ถึงความขลุกขลัก แต่รัฐมนตรีเสียหน้าหรือไงไม่ทราบ สั่งห้ามเลื่อน ปลัดกระทรวงตั้งกรรมการสอบ

วัคซีนไม่พอ กลายเป็นความผิดของ “นักรบชุดขาว” หมอ พยาบาลด่านหน้า ทำให้รัฐบาลเสียหน้า?

ปัญหาคือรัฐบาลไม่ชี้แจงประชาชนให้ชัด ว่าจะจัดสรรวัคซีนอย่างไร ในยุทธศาสตร์ 3 ด้านซ้อนกัน หนึ่ง จัดสรรให้ผู้สูงวัยคนมีโรคประจำตัว ที่ลงทะเบียน “หมอพร้อม” ทุกจังหวัด สอง จัดสรรให้พื้นที่สีแดงเข้ม เช่นกรุงเทพปริมณฑล เพื่อยับยั้งสถานการณ์เฉพาะหน้า สาม จัดสรรให้พื้นที่เศรษฐกิจ เช่นภูเก็ตแซนด์บอกซ์

รัฐบาลเลือกข้อสี่ คือถูกทุกข้อ แล้วก็สับสนไปหมด ส่งทุกจังหวัดแต่ไม่พอฉีดกลุ่มเสี่ยง “หมอพร้อม” ใน กทม.มีทั้งโควตาผู้ว่าฯ โควตาประกันสังคม โควตาขนส่งสาธารณะ โดยทุกกลุ่มอายุได้ AstraZeneca ต่างจังหวัดกลุ่มเสี่ยงได้ Sinovac ปริมณฑลบางจังหวัดได้เยอะ บางจังหวัดก็ได้น้อย เช่น สมุทรปราการ นครปฐม

ส่วนการจัดสรรพื้นที่ท่องเที่ยว เดี๋ยวคอยดูมีดราม่า เพราะ 10 จังหวัดที่ตั้งเป้าฉีดให้ได้ 70% ก่อนจังหวัดอื่น ได้แก่ กทม. เชียงใหม่ ประจวบ เพชรบุรี ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ กระบี่ พังงา และบุรีรัมย์

บุรีรัมย์นี่นะ จังหวัดท่องเที่ยว เร่งส่งวัคซีนฉีดวัว “ลัมปีสกิน” ก่อนดีไหม

ดูเหมือนรัฐบาลยังกลัวเดือนหน้า AstraZeneca จะส่งไม่ทัน จึงสั่ง Sinovac กระหน่ำอีกร่วมสิบล้านโดส ทั้งที่เพิ่งเปิดเผยตัวเลข ใช้งบ 5,059 ล้านบาทซื้อ Sinovac 8.1 ล้านโดส ใช้งบ 5,287 ล้านบาท ซื้อ Astra ได้ 26 ล้านโดส ราคาแพงกว่ากัน 3 เท่า

ในภาพรวม ประยุทธ์คงลากถูไปได้ ปูพรมวัคซีนแล้วอ้างผลงาน ทั้งที่ล้มเหลวมาตลอดในการควบคุมป้องกัน แต่ถึงแม้โควิดจาง เศรษฐกิจก็ไม่ฟื้นง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่เปราะบาง ซึ่งโควิดไปซ้ำเติมให้ยิ่งรู้สึกถึงเส้นสายและความเหลื่อมล้ำ

New York Times เพิ่งเขียนรายงานเรื่องโควิดในไทย ว่ามีการเลือกปฏิบัติ เหลื่อมล้ำ ระบบอุปถัมภ์ ผู้มีอภิสิทธิ์ในสังคมไม่ต้องรับผิด ทั้งที่เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด โดยไปสัมภาษณ์ประธานชุมชนคลองเตยที่บอกว่า คนรวยปาร์ตี้ คนจนรับกรรม

โควิดรอบสามเกิดจากคลัสเตอร์ทองหล่อ แต่คนรับเคราะห์หนักที่สุดคือชุมชนแออัด เพราะความยากจน ขาดคุณภาพชีวิต ไม่สามารถ WFH เช่นเดียวกับแรงงานต่างด้าว ตามโรงงาน ตามไซต์ก่อสร้าง หรือตามตลาดสด ซึ่งตรวจพบครั้งละหลายร้อยคน เพราะกินนอนกระจุก ใช้ห้องน้ำร่วมกัน รัฐบาลก็ได้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตคนจน คนงาน สภาพอย่างนี้พร้อมจะเกิดรอบสี่ รอบห้า หรือมีเชื้อใหม่มา ก็อันตรายอีก

ยกระดับขึ้นมาอีกชั้น เจ้าของกิจการรายย่อย ร้านอาหาร ร้านนวดสปา ร้านสัก ผับบาร์ พนักงานบริการ ไปจนนักดนตรี ก็กำลังจะตายหมด โดยรัฐบาลมีให้แค่เราชนะ เรารักกัน ไม่มีมาตรการอุดหนุนกลุ่มที่เดือดร้อนโดยตรง ไม่มีเงินช่วยให้ชะลอเลิกจ้าง

บางคนบอกว่าบางธุรกิจเจ๊งเป็นเรื่องธรรมดา โลกไปถึงไหนแล้ว ต้องปรับตัวค้าขายออนไลน์ พูดยังกับมีพื้นที่ให้ทุกคนค้าขายออนไลน์ ที่ยกตัวอย่างโควิดทำให้แพลตฟอร์มส่งอาหารรุ่งเรือง มอเตอร์ไซค์ก็ประท้วงเต็มไปหมด เพราะถูกกดค่าตอบแทน

โควิดจะทำให้สังคมไทยเหลื่อมล้ำยิ่งขึ้น รัฐอำนาจนิยมระบบอุปถัมภ์ จะทำให้คนยิ่งเดือด ไม่ใช่จะกลับไปสู่โลกก่อนโควิดได้ง่าย

Back to top button