โอกาสในวิกฤตพลวัต2015

ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่สัญญาณทางเทคนิคในยามตลาดถูกแรงกดดันจากภายนอก เกิดใช้การไม่ได้ เพราะแรงเทขายของต่างชาติที่ออกมาต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุด 1,500 จุดไปได้อย่างง่ายดาย แนวรับกระจุยกระจายเมื่อวานนี้ หากไม่มีสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ตะวันออกกลาง จากกรณีสงครามกลางเมืองในเยเมน ที่ดันราคาน้ำมันดิบทั่วโลกวิ่งขึ้นแรง ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะลบแรงมากกว่านี้อีกหลายเท่า


ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่สัญญาณทางเทคนิคในยามตลาดถูกแรงกดดันจากภายนอก เกิดใช้การไม่ได้ เพราะแรงเทขายของต่างชาติที่ออกมาต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุด 1,500 จุดไปได้อย่างง่ายดาย แนวรับกระจุยกระจายเมื่อวานนี้ หากไม่มีสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ตะวันออกกลาง จากกรณีสงครามกลางเมืองในเยเมน ที่ดันราคาน้ำมันดิบทั่วโลกวิ่งขึ้นแรง ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะลบแรงมากกว่านี้อีกหลายเท่า

ไม่ต้องพูดถึงนักลงทุน ที่เจ็บตัวกันระนาว ไม่มากก็น้อย  ยกเว้นพวกถือคติว่า เงินไปเที่ยว เดี๋ยวเดียวก็กลับมา

แล้วก็คงไม่ต้องพูดถึงนักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ผิดเสมอในยามสถานการณ์พลิกผัน ตั้งตัวไม่ติดเช่นนี้

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้ดัชนีวานนี้จะถล่มหนักไป 16 จุดเศษ แต่มูลค่าการซื้อขายกลับเบาบางอย่างมาก แสดงว่า แรงรับหุ้นต่ำ แรงขายจึงเทกระหน่ำง่าย เพราะคนที่คิดจะรับไม่มั่นใจว่า หุ้นจะต่ำลงไปกว่านี้อีกหรือไม่

ช่วงนี้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง คล้ายกับเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ต่างชาติขายหุ้นในเอเชียทิ้งเพราะข่าวจะยกเลิกมาตรการ QE ในสหรัฐ โดยเฉพาะตลาดTIPs (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) ทำให้ดูยากว่า ต่างชาติจะกลับมาเร็วแค่ไหน

สถานการณ์นับจากนี้ไป ตลาดหุ้นไทยจะตกอยู่ในสภาพรับค่อนข้างสาหัสตามลำพัง เหตุผลก็เพราะตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไปจากเดิม และเอื้อต่อการถดถอยของดัชนีอย่างมาก นับแต่

–          ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยยังสูงมากที่ระดับเหนือกว่า 18 เท่า เปิดช่องกับการไหลลงต่อไป เพื่อไปหาราคาหุ้นที่ต่ำลงจนราคาสมเหตุผล

–          เศรษฐกิจไทยไม่ดีเอาเสียเลย แม้รัฐบาลจะป่าวประกาศดีแค่ไหนก็หาคนเชื่อยาก เพราะล่าสุดถูกต่างชาติปรับธนลดเป้าการเติบโตปีนี้ลง ตัวอย่างงานมอเตอร์โชว์ที่เคยคึกคักช่วงนี้ มีคนชมน้อยลง เพราะมีรถโชว์ต่ำกว่าปกติ เนื่องจากติดปัญหากฎอัยการศึก

–          การเมืองของไทยยังไม่นิ่ง เพราะรัฐบาลซึ่งมาจากการรัฐประหาร อยู่ในสภาพ ”ยึดอำนาจได้ แต่ปกครองไม่ได้ดี” ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ปล่อยให้ความเชื่อมั่นเหือดหายลงรวดเร็ว

–          ผลประกอบการของหุ้นหลักไม่สดใส โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน ทำให้นักลงทุนต้องเลือกเอาการขายตัดขาดทุน หรือติดหุ้นต่อไปยาวนาน

ภาวะที่ตลาดหุ้นมีมูลค่าซื้อขายต่ำลงอย่างรุนแรง จากระดับ 5 หมื่นล้านบาทช่วง 2 เดือนแรก เหลือเพียง 3.5 หมื่นล้านบาทในหลายวันมานี้ เป็นอาการที่น่าเป็นห่วง มากกว่าการที่ต่างชาติขายออกหลายเท่า เพราะมูลค่าที่หายไป พร้อมกับดัชนีถดถอยลง เป็นอาการที่เรียกว่า “ตลาดวาย” (endemic market) ชัดเจน

ภาวะตลาดวาย เป็นภาวะที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเพราะหุ้นบลูชิพจะมีคนซื้อขายต่ำ เนื่องจากประการแรกสุด บริษัทที่จะระดมทุนจากการขายหุ้นในตลาดแรก (ไอพีโอ) จะสูญเสียโอกาสในการขยายธุรกิจหรือแก้ปัญหาทางการเงินไปมหาศาล ทำให้ตลาดขาดสินค้าใหม่เจ้ามาสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้โดยปริยาย ทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีกำไรไม่ค่อยสวยโดยธรรมชาติในยามปกติอยู่แล้ว ยิ่งจะย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก

ประการที่สอง ราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดขยับยาก โดยเฉพาะหุ้นบลูชิพที่มีขนาดใหญ่และหนัก ย่อมมีโอกาสที่จะลงง่าย ขึ้นยาก หมดเสน่ห์จากนักลงทุน  เปิดช่องให้นักลงทุนรายย่อยหันไปเล่นหุ้นราคาต่ำที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งจะไปเข้าข่ายการซื้อขายหุ้นร้อนที่ตลาดต้องการควบคุมตามมาตรการ 3  ระดับ ทำให้ราคาหุ้นผันผวนไม่สมเหตุผล

คงจะนึกภาพออกยากว่า ในสภาพที่ตลาดกำลังวาย แต่มาตรการควบคุมหุ้นร้อนจะออกมาบังคับใช้อย่างไร โดยที่ไม่ทำให้มี ซึ่งผลเสียกระทั่งตลาดมีมูลค่าซื้อขายหดหายไป

ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ตลาดหุ้นขณะนั้นเคยผ่อนปรนเพื่อให้สภาพตลาดที่วายอย่างรุนแรง สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยอนุญาตให้มีการเล่นหุ้นหักกลบวันเดียวได้ หรือ เน็ตเซ็ทเทิลเม้นท์ เป็นที่มาของพฤติกรรมที่เรียกกันว่าคุณเน็ต ที่คุ้นเคยกันมาถึงทุกวันนี้ ถือเป็นการหลิ่วตาข้างหนึ่ง

คำอธิบายที่สวยหรูของผู้บริหารตลาดหุ้นที่เคยใช้กันพร่ำเพรื่อว่า ตลาดที่ซบเซาเป็นผลพวงจากสภาพทั่วไปของตลาดหุ้นทั่วโลก  เนื่องจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี อาจจะฟังขึ้น แต่จะบอกว่าปัจจัยพื้นฐานทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน (ภายในประเทศยังอยู่ในทิศทางที่ดี) โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนก ก็คงจะใช้การไม่ได้อีกแล้วในปีนี้

ที่สำคัญ เม็ดเงินเก็งกำไรต่างชาติที่ถอยไปจากเมืองไทย อาจจะใช้เวลานานกว่าปกติในการหวนกลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง

สำหรับนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่เคยมีประสบการณ์ พวกเขาอาจจะเรียนรู้ได้ว่า การเจ็บตัวจากวันที่หุ้นตกแรงนั้น ไม่ได้ทำให้โลกล่มสลาย แต่คำแนะนำของบรรดานักวิเคราะห์ ที่มองเห็นว่าเป็นโอกาสซื้อมากกว่าการตื่นตระหนก เพื่อส่งสัญญาณให้ทำการสะสมหุ้นเพื่อรอวันดีดกลับครั้งใหม่ แม้จะเป็นเสมือนยาขม แต่ก็เป็นสิ่งที่พึงรับฟัง

คำถามตามมา อยู่เพียงแค่ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหน ที่ให้ผลตอบแทนรวดเร็ว และหักกลบการขาดทุนจากช่วงเวลาที่หุ้นลงหนักได้ ซึ่งโดยทั่วไปเรียกกันง่ายๆ ว่าหุ้นหลบภัย หรือหุ้นกลับตัวเร็ว

เป็นโจทย์ที่แมงเม่าทั้งหลายต้องขบคิด หากไม่ใจฝ่อจนเลิกซื้อขายหุ้นกันไปเสียก่อน

การค้นหาโอกาสในวิกฤต เป็นหน้าที่ของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ยังดีกว่าฝากเงินไว้กันธนาคาร หรือซื้อกองทุน ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อย

 

Back to top button