เปิดโผ 4 หุ้นซุ่มโตเงียบกำไรเด่น-อัพไซด์เพียบ!
รวมทีม 4 หุ้นสุดติ่งแอบโกยรายได้และกำไรแบบเงียบๆ บวกกับโชว์สถิติกำไรเติบโต 5 ปีซ้อน แม้เจอทั้งปัญหาน้ำท่วม ปัญหาการเมืองเล่นงาน ด้านโบรกฯมองบวก พร้อมชูอัพไซด์อีกเพียบ
รวมทีม 4 หุ้นสุดติ่งแอบโกยรายได้และกำไรแบบเงียบๆ บวกกับโชว์สถิติกำไรเติบโต 5 ปีซ้อน แม้เจอทั้งปัญหาน้ำท่วม ปัญหาการเมืองเล่นงาน ด้านโบรกฯมองบวก พร้อมชูอัพไซด์อีกเพียบ
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นที่มียอดขายและผลกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด5 ปีที่ผ่านมา (2553-2557) และยังเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ (2558) โดยผลจากการสำรวจข้อมูลผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวพบว่า มีอยู่ 4 บริษัทที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว และถือเป็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในภาวะตลาดหุ้นผันผวน
เริ่มต้นที่หุ้นตัวแรกคือ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC ซึ่งมียอดขาย-ผลกำไรสุทธิ ตั้งแต่ งวดปี 2553 ถึง งวดปี 2557 ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 7.45 หมื่นล้านบาท2.89 พันล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มเป็น 1.10 แสนล้านบาท5.24 พันล้านบาทในปี 2554 เพิ่มเป็น 1.20 แสนล้านบาท6.07 พันล้านบาท ในปี 2555 เพิ่มเป็น 1.27 แสนล้านบาท6.98 พันล้านบาท ในปี 2556 และล่าสุดเพิ่มเป็น 1.31 แสนล้านบาท7.24 พันล้านบาท ในปี 2557
ด้านราคาหุ้น BIGC วานนี้ (30 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 229.00 บาท ปรับตัวขึ้น 2.00 บาท หรือ 0.88% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 61.97 ล้านบาท ขณะที่โบรกเกอร์ให้ราคาเหมาะสมโดยเฉลี่ยที่ระดับ 256 บาท
หุ้นตัวที่สองคือ บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DCON ซึ่งมียอดขาย-ผลกำไรสุทธิ ตั้งแต่ งวดปี 2553 ถึง งวดปี 2557 ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 739 ล้านบาท71 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มเป็น 821 ล้านบาท84 ล้านบาท ในปี 2554 เพิ่มเป็น 1.03 พันล้านบาท146 ล้านบาท ในปี 2555 เพิ่มเป็น 1.31 พันล้านบาท215 ล้านบาท ในปี 2556 และล่าสุดเพิ่มเป็น 1.86 พันล้านบาท329 ล้านบาท ในปี 2557
ด้านราคาหุ้น DCON วานนี้ (30 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 1.86 บาท ปรับตัวขึ้น 0.06 บาท หรือ 3.33% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38.92 ล้านบาท ขณะที่โบรกเกอร์ให้ราคาเหมาะสมโดยเฉลี่ยที่ระดับ 2.00 บาท
หุ้นตัวที่สามคือ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB ซึ่งมียอดขาย-ผลกำไรสุทธิ ตั้งแต่ งวดปี 2553 ถึง งวดปี 2557 ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 1.93 พันล้านบาท62 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มเป็น 3.13 พันล้านบาท107 ล้านบาท ในปี 2554 เพิ่มเป็น 4.09 พันล้านบาท189 ล้านบาท ในปี 2555 เพิ่มเป็น 6.01 พันล้านบาท261 ล้านบาท ในปี 2556 และล่าสุดเพิ่มเป็น 6.17 พันล้านบาท306 ล้านบาท ในปี 2557
ด้านราคาหุ้น PREB วานนี้ (30 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 14.40 บาท ปรับตัวขึ้น 0.30 บาท หรือ 2.13% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.66 ล้านบาท ขณะที่โบรกเกอร์ให้ราคาเหมาะสมโดยเฉลี่ยที่ระดับ 20.00 บาท
หุ้นตัวสุดท้ายคือ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) หรือ OFM ซึ่งมียอดขาย-ผลกำไรสุทธิ ตั้งแต่ งวดปี 2553 ถึง งวดปี 2557 ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 1.05 พันล้านบาท35ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มเป็น 1.26 พันล้านบาท46ล้านบาท ในปี 2554 เพิ่มเป็น 6.68 พันล้านบาท287ล้านบาท ในปี 2555 เพิ่มเป็น 8.51 พันล้านบาท409ล้านบาท ในปี 2556 และล่าสุดเพิ่มเป็น 9.21 พันล้านบาท439ล้านบาท ในปี 2557
ด้านราคาหุ้น OFM วานนี้ (30 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 59.00 บาท ปรับตัวลง0.25 บาท หรือ 0.42% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20.09 ล้านบาท ขณะที่โบรกเกอร์ให้ราคาเหมาะสมโดยเฉลี่ยที่ระดับ 60.00 บาท
โดยหุ้นทั้ง 4 ตัวข้างต้น ถือเป็นหุ้นที่มีธุรกิจมั่นคงมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งมาก โดยสามารถวัดได้จากผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งน้ำท่วมใหญ่ช่วงปี 2554 เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ผลกำไรสุทธิของแต่ละบริษัทมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอัตราการเติบโตของยอดขาย ซึ่งนั่นหมายถึงว่า บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกปี