เมื่อจิ้งจกทักพลวัต2015

ดัชนีตลาดหุ้นไทยกำลังได้รับเสียงเชียร์ว่าจะกลับขึ้นไปทะลุ 1,600 จุดอีกครั้งโดยนักวิเคราะห์หลายสำนัก แต่ที่สหรัฐ นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท กลับมีมุมมองตรงกันข้าม พวกเขามองกันว่า ราคาหุ้นเริ่มเข้าสู่ภาวะสูงเกินพื้นฐานไปเสียแล้ว


ดัชนีตลาดหุ้นไทยกำลังได้รับเสียงเชียร์ว่าจะกลับขึ้นไปทะลุ 1,600 จุดอีกครั้งโดยนักวิเคราะห์หลายสำนัก แต่ที่สหรัฐ นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท กลับมีมุมมองตรงกันข้าม พวกเขามองกันว่า ราคาหุ้นเริ่มเข้าสู่ภาวะสูงเกินพื้นฐานไปเสียแล้ว

มุมมอง “จิ้งจกทัก” ดังกล่าว ได้รับการขานรับโดยนักลงทุนระดับเซียนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ว่า ควรจะขายหุ้น มากกว่าซื้อ เพราะสัญญาณซื้อที่เกิดขึ้น หลังจากข่าวเรื่องเฟดเลื่อนขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าคำนวณในดัชนี S&P500 และดาวโจนส์ ไม่น่าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบันมากนัก ราคาหุ้นที่วิ่งแรงแซงหน้าผลประกอบการ และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป  ย่อมมีขีดจำกัดของการวิ่งขาขึ้น

มุมมองดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องใหม่ แล้วปฏิกิริยาที่สนองตอบต่อมุมมองแบบสวนกระแส ก็ต่างกันไป คือมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ขึ้นอยู่กับศรัทธา และเหตุผลสนับสนุน

ข้อเท็จจริงที่ว่า ดัชนีตลาดหุ้นเกือบทั้งหมดในวอลล์สตรีทสูงเกินไป มีตัวอย่างเช่น  ดัชนีตลาดแนสแด็ก (IXIC) ปัจจุบันสูงกว่าเมื่อปี 2009 ซึ่งเป็นปีฐาน มากถึง 275% ส่วนดัชนีดาวโจนส์ สูงกว่า 175% และ S&P 500  สูงกว่า 210% ขณะที่อัตราเติบโตของจีดีพีสหรัฐปี 2013 อยู่ที่  1.9% ในปี 2014 โตขึ้นมาอยู่ที่ 2.2% ส่วนปีนี้คาดว่าสหรัฐจะโตไม่เกิน  3.1% ในขณะที่จีดีพีของยูโรโซน คาดว่าจะติดลบ

สตีน จาค็อบเซ่น นักวางกลยุทธ์ของแซกโซ แบงก์ ของเดนมาร์ก ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงจากการคาดเดาว่า ราคาน้ำมันดิบโลกจะวิ่งลงหนักในปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และราคาทองคำต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ระบุว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในปีนี้  ลดความสำคัญลงไปในการขับเคลื่อนราคาหุ้น แต่เศรษฐกิจสหรัฐและจีนที่โตช้าลง จะสะท้อนออกมาอย่างมีน้ำหนักมากในผลประกอบการของบริษัททั่วโลก และส่งผลทางลบต่อราคาหุ้นในที่สุด

เขาระบุว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ชะลอตัวลง ทำให้ความต้องการใช้เหล็ก ทองแดง รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ของโลก ให้หดหายไปมหาศาล  ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากมาตรการ QE จะต้องเผชิญกับการเติบโตของธุรกิจที่เชื่องช้าลงและทำให้ราคาหุ้นที่เคยสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงถดถอยลง ในขณะที่แรงกระตุ้นในสหภาพยุโรปจากมาตรการ QE ใหม่ จะไม่ส่งผลต่อสหรัฐมากนัก เหตุผลก็เพราะว่า มาสายเกินแก้เสียแล้ว

มาร์ก สปิตซ์นาเจล ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ผู้ซึ่งร่ำรวยมหาศาลจากการคาดเดาฟองสบู่ซับไพรม์แตกเมื่อ 6 ปีก่อน ระบุว่า ภายในสิ้นปี 2015 นี้ ดาวโจนส์จะมีโอกาสปรับฐานลงไป 50% หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับเวลาเมื่อใดเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่เขาระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไป ไม่ช่วยกระตุ้นการลงทุนใหม่ๆ แต่จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งราคาหุ้นสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงเป็นภาพลวงตาว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ทั้งที่ความจริงไม่ใช่

นักวิเคราะห์สวิสชื่อดัง มาร์ก เฟเบอร์ ผู้ซึ่งมีชื่อจากการมองโลกในแง่ร้าย (มีทั้งถูกและผิด) ระบุว่า นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของเฟด สร้างภาพลวงตาว่า กำไรของบริษัทต่างๆ สวยงาม ทั้งที่จริงแล้ว เกิดจากต้นทุนการเงินที่ต่ำต่างหาก ไม่ใช่ผลประกอบการกำไรงดงาม ผลลัพธ์คือ ธุรกิจเกิดใหม่ยากจะมีแรงจูงใจให้ลงทุนเพิ่มในระยะยาว

เซียนหุ้นอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังไม่ได้บอกชัดแบบนักวางกลยุทธ์คนอื่นๆ แต่ “Warren Buffett Indicator” ที่ทำการเปิดเผยว่า “สัดส่วนมาร์เก็ตแค็ปตลาดรวมต่อจีดีพี” (Total Market Cap to GDP Ratio) ระบุว่า ค่าดังกล่าวได้เกินจุดน่าลงทุนไปแล้ว มีแต่จุดให้ขายทิ้ง สะท้อนว่า ได้เตรียมการถอนตัวจากหุ้นอย่างจริงจังเกิดขึ้น

พอร์ตหุ้นที่บริษัทลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ เคยถือเอาไว้ ถูกทยอยขายออกไปต่อเนื่องในจังหวะขาขึ้นของตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นการเงินและธนาคาร เช่น Wells Fargo & Company, American Express Company, U.S. Bancorp แล้วก็ The Bank of New York Mellon Corporation

มหาเศรษฐีหุ้นอีกรายหนึ่ง จอห์น พอลสัน ก็ขายหุ้นในมือที่เป็นสถาบันการเงินส่วนใหญ่เช่นกัน  ได้แก่  JPMorgan Chase & Co., Family Dollar Stores, Inc. และ Sara Lee Corporation.

แม้น้ำหนักในด้านให้ถอนตัวจากตลาดหุ้นยามนี้ จะมีค่อนข้างสูง แต่ก็มีเสียงท้วงติงจากคนที่อยู่ในกระแสเดียวกัน อย่าง ฌ็อน ไฮแมน ผู้บริหารกองทุน Absolute Profits ที่เลือกลงทุนสาขาธุรกิจจำเพาะเท่านั้น ระบุว่า ภาพรวมของตลาดมีแนวโน้มที่เหมาะสำหรับการขาย แต่ก็ไม่ควรทิ้งทั้งหมด เพราะยังมีบางธุรกิจที่ยังมีอนาคตสดใส แต่ไม่ยอมบอกรายละเอียด

มุมมองทางลบแบบจิ้งจกทักเช่นนี้ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ต้องผ่านการพิสูจน์เมื่อถึงเวลา

เสรีภาพของนักลงทุนที่จะเป็น ชาวสวน หรือชาวไล่ หรือชาวดอย หรือชาวเกาะ จะเป็นไปพฤติกรรมการลงทุนที่เลือกสรรแล้วของแต่ละคน ไม่ใช่ใครขัดขวางชะตากรรมได้

เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับเทวดา และไม่ควรกล่าวโทษฟ้าดิน หากได้รับผลร้ายในการเลือก

โจทย์นี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย อาจจะคิดว่าไกลตัว เพราะเชื่อว่าตลาดไทยมีลักษณะต่างจากสหรัฐ หรือใกล้ตัว เพราะโลกเชื่อมโยงไปมาหากันและกันตามกระแสไหลเวียนของทุนเก็งกำไร ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น  

Back to top button