สวรรค์ หรือนรกพลวัต2015

วันนี้ตลาดหุ้นไทย เปิดทำการวันแรกหลังจากหยุดยาว 5 วันรวด


วันนี้ตลาดหุ้นไทย เปิดทำการวันแรกหลังจากหยุดยาว 5 วันรวด

ตลาดหยุดยาวอย่างนี้ มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน เพราะทำให้เกิดการได้และการเสีย ทั้งเสียจริงหรือเสียโอกาส หรือได้หรือได้โอกาส

บางคนที่กำไรทิ้งค้างไว้บางส่วน จะบอกเสียโอกาส ส่วนคนที่ติดค้างไว้ จะบอกว่ารอดตายชั่วคราว แล้วคนที่ไม่มีติดอะไร บอกรอวันเข้าซื้อ

หากดูตามสัญญาณทางเทคนิค ตลาดหุ้นไทยควรจะบวกแรงเมื่อเปิดตลาดเช้าวันนี้  เพราะวันศุกร์ก่อนปิดตลาดมีทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง แถมวันจันทร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกบวกแรงต่ออีก

บังเอิญว่าวันอังคารและวันพุธ ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มมีอาการไปต่อไม่เป็นทิศทางขาขึ้นเดียวกัน เพราะมีปัจจัยลบสลับบวกเข้ามาแทรก ทำให้ผันผวนรวนเรกันไป คำถามก็ตกมาวันนี้ว่า หลังจากเปิดตลาดบวกแรงแล้ว ปัจจัยดังกล่าวนี้จะส่งอิทธิพลให้เปลี่ยนทิศทางมากน้อยแค่ไหนที่ตลาดหุ้นไทยวันนี้

จะบอกว่าขึ้นสวรรค์ต่อ หรือพลิกกลับลงนรก มันก็ใกล้เคียง และหมิ่นเหม่ทีเดียว หรือว่าสวรรค์กับนรกในมุมของนักลงทุนห่างกันแค่พลิกฝ่ามือ เป็นประเด็นสำหรับการลงทุนในวันนี้และพรุ่งนี้ เพราะสัปดาห์นี้ก็เหลือซื้อขายกันแค่ 2 วันเท่านั้นเอง

น้ำมันกลับมาบวก ส่งผลต่อหุ้นพลังงานทั้งปิโตรเลียม และทางเลือกทั้งหลายให้ดูดีขึ้น เพราะสถานการณ์ในเยเมน และกำลังการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐยังลดลง เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย

ค่าดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าเทียบกับเงินสกุลสำคัญทั่วโลก (ยกเว้นค่าเงินบาทไทยที่แข็งสวนภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศหน้าตาเฉย)  

ปัจจัยภายนอกพวกนี้ ว่าไปแล้ว หากพิจารณาให้ดี จะลดความสำคัญลงเพราะจากนี้ไป จะย่างเข้าช่วงเวลาเทศกาลประกาศงบการเงินรายไตรมาสกันอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น คำตอบที่ชัดเจนสุดที่จะบอกนักลงทุนให้มั่นใจได้ดีที่สุด ได้โดยไม่ต้องอาศัยอาจารย์เปรต (ที่ตอนนี้ดำดินหายไปแล้ว) หรือหมอเดาจอมปลอมทั้งหลายในรูปนักวิเคราะห์ อยู่ที่ผลประกอบการของบริษัทเจ้าของหุ้นนั่นเอง

ส่วนนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีหลักคิดพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายกว่าปกติ เพราะไม่ัสามารถแยกแยะได้ว่า ควรจะเชื่อข้อมูลไหนกันดี เพื่อที่จะตัดสินใจว่า ซื้อ ถือ หรือขาย อันเป็นทางเลือกสำคัญ ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะไม่คิดจะลงทุนด้านข้อมูลข่าวสารกันเสียเลย

สถานการณ์เช่นนี้ หลักการของการเก็งกำไรที่ถือว่าเป็นหลักการที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุนทุกคน ที่จำต้องย้ำแล้วย้ำอีก คือ  let profit run ถือเป็นสิ่งที่เตือนสติได้ดีที่สุด

ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนจำนวนมาก หรือเกือบทั้งหมด เลือกที่จะพูดถึงแต่สิ่งที่ดีๆ ของบริษัทตัวเอง คงไม่มีใครบ้าบอออกมาพูดถึงด้านลบขององค์กรธุรกิจเพื่อทุบราคาหุ้นของตนเอง การให้ข้อมูลด้านเดียวเช่นนี้ แม้จะทำให้ภาพลักษณ์ดีก็จริง แต่บางครั้งก็เป็นมายาภาพ เพราะทำให้นักลงทุนไม่ได้เข้าถึงข้อเท็จจริง และบางครั้งนักวิเคราะห์เองก็หลงทางได้ แม้ว่าในทางทฤษฎี นักวิเคราะห์น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ช่วยถ่วงดุลข้อมูลจากที่ผู้บริหารพยายามจะยัดเยียดให้นักลงทุนเชื่อก็ตาม

การกลับสู่พื้นฐานของบริษัทเจ้าของหุ้น แม้จะมีหลักการที่ดี แต่คำถามก็คือ สัดส่วนทางการเงิน หรือแผนธุรกิจ หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของบริษัท เป็นสิ่งที่ต้องตีความกันเพื่อถอดรหัสออกมาก่อนจะทำการตัดสินใจในการลงทุนเก็งกำไร

หลักการพื้นฐานของเบนจามิน แกรห์ม ซึ่งนักลงทุนเน้นคุณค่ารู้จักกันดีในฐานะ หลักการ 3 ข้อเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นเสมอนั้นประกอบไปด้วย

การลงทุนทุกครั้งที่มีหลักประกันของความปลอดภัย คือ ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงภายในของกิจการ นั่นคือ ซื้อเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู ซึ่งหากเป็นหุ้นที่ผลประกอบการพื้นฐานดีแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงในเรื่องความผันผวนของราคาในระยะสั้น

-คาดหวังถึงความผันผวนตามจังหวะสัญญาณของตลาดแล้วหากำไรจากมัน อย่ายินยอมให้ชีวิตถูกกระแสของตลาดชักจูงไปอย่างเซื่องๆ โดยไม่ได้ตรวจสอบเหตุผลและข้อเท็จจริง

-เข้าใจตัวเองว่าเป็นคนประเภทไหน แล้วลงทุนตามธรรมชาติของตนเอง อย่างสับสนระหว่างการเป็นนักลงทุน กับนักเสี่ยงโชคแบบการพนัน

เมื่อซึมซับหลักการ 3 ข้อได้แล้ว การตีค่าของราคาหุ้นโดยพิจารณาจากพื้นฐานของกิจการ ก็จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่นใจได้ดีกว่าอย่างอื่นใดว่า จะไม่มีการลงทุนที่ผิดพลาด และสูญเสียเงินทอง พร้อมกับก่นด่าตัวเองว่าตัดสินใจผิดหรือเสียค่าโง่ในการลงทุนที่ผิดพลาด

สวรรค์ หรือนรก สำหรับนักลงทุนในช่วงเวลาหลังสงกรานต์เช่นวันนี้ จึงเป็นไปตามพื้นฐานดังกล่าว ไม่ใช่เพราะปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นแค่ปัจจัยเสริมเท่านั้น  แล้วหากต้องลงนรกจริง ก็อย่าก่นด่าเทวดาเลย เสียเวลาเปล่าๆ 

Back to top button