LHลุยเปิด17โครงการใหม่ดันรายได้ปีนี้โต3หมื่นล้าน

LH เผยกลยุทธ์การสร้างกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มาจาก 3 ส่วน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย-เพื่อเช่า-การเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อย


บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย โดยขายบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม มีโครงการอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ภูเก็ต เป็นต้น

“อดิศร ธนนันท์นราพูล” กรรมการผู้จัดการ LH กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลเกินกว่า 70% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี (จ่ายปันผลปีละ 2ครั้ง) โดยในช่วงระยะเวลา 2 ปี ย้อนหลัง (ปี 2555-2556) บริษัทมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 บริษัทจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 0.30 บาทต่อหุ้น โดยครึ่งปีแรกจ่าย 0.20 บาทต่อหุ้น และครึ่งปีหลังจ่ายอีก 0.10 บาทต่อหุ้น และปี 2556 บริษัทจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 0.40 บาทต่อหุ้น โดยครึ่งปีแรกจ่าย 0.15 บาทต่อหุ้น และครึ่งปีหลังจ่ายอีก 0.25 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ล่าสุดปี 2557จ่ายเงินปันผลประจำปี 2557 จากกำไรสุทธิและกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว จำนวน 0.25 บาท ทำให้เหลือเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติม คือ เงินปันผลหุ้นละ 0.40 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 เม.ย.2558 และกำหนดจ่ายวันที่ 22 พ.ค.2558

โดยผลการดำเนินงานปี 2557 บริษัทมีรายได้รวม 34,141.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,291.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.59% จากปี 2556 ที่มีรายได้รวม 27,850.48 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8,423.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,944.67 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.02% จากปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 6,478.40 ล้านบาท เนื่องจากมีการบันทึกกำไร1,510.80 ล้านบาท จากการขายสิทธิการเช่าในศูนย์การค้าเทอมิเนล21 ให้แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ ในราคา 6,058 ล้านบาท  

“กลยุทธ์การสร้างกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง การเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยต่างๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทย่อยที่ LH เข้าถือหุ้นจะสร้างกำไรประมาณ 30-35% ของกำไรสุทธิรวมในงบประจำปี”

สำหรับในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมประมาณ 30,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 10-12% จากปี 2557โดยจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประมาณ 28,000 ล้านบาท หรือประมาณ 94% และจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 6% ของรายได้รวม

ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ที่กว่า 20,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 2558 ประมาณ 5,000 ล้านบาท และจะรับรู้ในปี 2559 ประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2560

ส่วนยอดขาย (Presale) ในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าไว้ประมาณ 34,000 ล้านบาท หรือเติบโต 8% จากปี 2557โดยสัดส่วนยอดขายจะมาจากโครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 65% โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 30% และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 5% โดยสัดส่วนยอดขายจะมาจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 85% และจากต่างจังหวัดประมาณ 15%

 

“อดิศร” กล่าวอีกว่า ในปี 2558 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 17 โครงการ มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบจำนวน 14 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 35,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 12 โครงการ และต่างจังหวัด จำนวน 5 โครงการ ปัจจุบันบริษัทมียอดโครงการเหลือขายประมาณ 73,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 2558 ที่ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ใช้สำหรับซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ จำนวน 8,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 4,000 ล้านบาท ใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดภายในบริษัท และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในคงเหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนจำนวน 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกว่า 2,000 ล้านบาท จะใช้ซื้อโครงการอพาร์ตเมนต์แห่งที่ 3 ในซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะสรุปได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

โดยสัดส่วนรายได้จากค่าเช่าปัจจุบันมาจากค่าเช่าภายในประเทศประมาณ 1,600-1,700 ล้านบาท และจากค่าเช่าต่างประเทศประมาณ 300 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอพาร์ตเมนต์ในซานฟรานซิสโกอยู่แล้ว จำนวน 2 แห่ง สร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าในปี 2558 รายได้ดังกล่าวจะเติบโตขึ้น 8% จากการปรับเพิ่มค่าเช่า

 

ขณะเดียวกันในปี 2558 บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะออกประมาณ 2-3 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกคาดว่าจะออกช่วงเดือนเม.ย. 58 ประมาณ 5,000 ล้านบาท จะมีอายุ 3 ปี คาดว่าดอกเบี้ยจะต่ำกว่า 3.5% ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ดังกล่าว เพื่อทดแทนหุ้นกู้ของเดิมที่กำลังจะหมดอายุ และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท

นอกจากนี้ ในปี 2558 บริษัทมีแผนจะตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (REIT) จำนวน 1 กอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณานำสินทรัพย์เข้ามาลงทุนในกองดังกล่าว โดยมีสินทรัพย์เป็นโรงแรมจำนวน 3 แห่ง มูลค่ารวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม แกรนด์ เซ็นเตอร์พอยท์ เทอร์มินอล 21, โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยท์ เพลินจิต และโรงแรม แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยท์ แอน เรสซิเดนซ์ ราชดำริ

Back to top button