MBKเชื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวหนุนรายได้รวมปี58โต5%

MBK เป็นหุ้นที่มีรายได้และกำไรเติบโตแบบไม่หวือหวา แต่จะค่อยๆ เติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้ปี 58 โต 5% เชื่อเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น


หากกล่าวถึงหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี ต้องนึกถึงหุ้นบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจกอล์ฟ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการเงิน ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจประมูลรถยนต์และจักรยานยนต์มือสอง และธุรกิจสนับสนุน โดยแต่ละกลุ่มธุรกิจของ MBK จะแบ่งนโยบายการดำเนินธุรกิจและการบริหารจัดการให้แต่ละธุรกิจทำหน้าที่ดำเนินงานและรับผิดชอบอย่างชัดเจน

 

“สุเวทย์ ธีรวชิรกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ MBK เปิดเผยว่า บริษัทต้องการให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง โดยมีนโยบายจ่ายปันผล 40% ปีละ 2 ครั้ง แต่ในทางปฏิบัติบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าเงินปันผลที่จ่าย ซึ่ง MBK เป็นหุ้นที่มีรายได้และกำไรเติบโตแบบไม่หวือหวา แต่จะค่อยๆ เติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับงวดในปี 2557บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีหุ้นละ 0.60 บาท โดยแบ่งจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2557 หุ้นละ 0.30 บาท  และจ่ายในงวดครึ่งปีหลังของปี 2557 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2557 หุ้นละ 0.30 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายในวันที่ 27 เม.ย. 2558

ทั้งนี้ การจ่ายปันผลในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555-2556) บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น 0.025บาทต่อหุ้น โดยในปี 2555 บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลที่ 0.55 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็น ในช่วงครึ่งปีแรกจ่ายที่ 0.275 บาทต่อหุ้น และในช่วงครึ่งปีหลังจ่ายเพิ่มอีก 0.275 บาทต่อหุ้น และในปี 2556 บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลที่ 0.755 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็นในช่วงครึ่งปีแรกจ่ายที่ 0.275 บาทต่อหุ้น และในช่วงครึ่งปีหลังจ่ายเพิ่มอีก 0.30 บาทต่อหุ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 10,080.11 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,591.41 ล้านบาท 

 

สำหรับในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5% จากปี 2557 เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจศูนย์การค้าประมาณ 35%, ธุรกิจข้าวประมาณ 30%, ธุรกิจการเงินประมาณ 15%, ธุรกิจโรงแรมประมาณ 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 10% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ประมาณ 5%

โดยในปี 2558 รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว จะมาจากโครงการควินน์ คอนโด รัชดาภิเษก (QUINN CONDO @ RATCHADA) ซึ่งมีกำหนดสร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ปัจจุบันมียอดขาย (Presale) แล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในปี 2558 ประมาณ 50% ของยอดขาย ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนในปี 2559 ขณะเดียวกันยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม ในปี 2558 บริษัทมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท ในทำเลใกล้ศูนย์การค้า เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 บนเนื้อที่ประมาณ 6-7 ไร่ ปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้ว โดยจะเริ่มเปิดขาย (Presale) ในช่วงปลายปี 2558 ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าด้วยทำเลดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยจากพนังงานของสนามบิน และกำหนดสร้างเสร็จในปี 2560

ส่วนธุรกิจอาหารในปี 2558 บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยจะขยายร้านอาหาร Tsurumaru Udon Honpo  (ซูรุมารุ อุด้ง ฮอนโปะ) เพิ่มอีกจำนวน 2-3 สาขา จากปัจจุบันมีจำนวน 4 สาขา, ขยายร้านอาหารภายใต้แบรนด์ Fujio Shokudo (ฟูจิโอะ โชกุโด) เป็นอาหารญี่ปุ่นสไตล์โฮมเมด (Homemade) สดๆ ใหม่ๆ เพิ่มจำนวน 2 สาขา จากปัจจุบันมี 2 สาขา และขยายร้านสุกี้นัมเบอร์วัน เพิ่มจำนวน 3 สาขา จากปัจจุบันมี 1 สาขา เบื่องต้นบริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการขยายสาขาดังกล่าวทั้งหมดประมาณ 50 ล้านบาท

ขณะที่ธุรกิจข้าวในปี 2558 ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีขึ้นจากปี 2557 ที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายของภาครัฐมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการส่งข้าวระดับพรีเมียมไปจำหน่ายยังต่างประเทศประมาณ 10% โดยส่งไปจำหน่ายยังประเทศในทวีปยุโรป ประเทศแคนาดา และประเทศในอเมริกาเหนือและกลาง ส่วนอีก 90% จะจำหน่ายภายในประเทศ

 

ส่วนธุรกิจศูนย์การค้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักและมีรายได้สม่ำเสมอ โดยในปี 2558 บริษัทมีแผนจะปรับปรุงศูนย์การค้า MBK ใหม่ ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงสร้างทางเชื่อมต่อมายังศูนย์การค้า เพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น บริษัทคาดว่าจะใช้งบในการปรับปรุงประมาณ 500-600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ในรอบ 15 ปี

อีกทั้ง ในปี 2558 บริษัทมีนโยบายปรับขึ้นค่าเช่าประมาณ 3% จากปกติที่ 4-5% ต่อปี อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ปรับขึ้นค่าเช่าในปี 2558 น้อยกว่าปกติ เนื่องจากบริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ปัจจุบันบริษัทมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยประมาณ 95-56% ของพื้นที่เช่าทั้งหมดที่มีกว่า 200,000 ตารางเมตร

ด้านธุรกิจโรงแรมบริษัทหวังอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปี 2558 ที่ 80% จากปี 2557 ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 80% ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุความวุ่นวายทางการเมือง ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล ส่วนธุรกิจการเงินบริษัทเชื่อว่าจะเติบโตมากขึ้น จากความต้องการของประชาชนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ แหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจของบริษัทจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท ซึ่ง ณ สิ้นปี 2557 บริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ที่ระดับกว่า 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ อุปสรรคที่มีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความกังวล ไม่กล้าใช้จ่ายเงิน ส่วนโอกาสในการขยายธุรกิจ จะอยู่ที่การเปิดประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ถือเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประทศ

Back to top button