“มาสเตอร์คูล” เตรียมขาย IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น เล็งเทรด mai ใน H2/58
"มาสเตอร์คูล" ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหา-จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop เตรียมขาย IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น คาดเข้าเทรด mai ได้ใน H2/58 ระดมทุนใช้ขยายงานหลังยอดขายโตแซงตลาดรวม โดยมีบล.ทรีนิตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) คาดว่าหุ้นเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อระดมทุนใช้ขยายงาน หลังจากช่วงที่ผ่านมายอดขายของบริษัทเติบโตกว่าปีละ 30% มากกว่าตลาดรวมเครื่องปรับอากาศและพัดลมที่ขยายตัวปีละ 5-7% โดยบริษัทได้ยื่นไฟลิ่งไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม ขณะนี้อยู่ในกระบวนการของก.ล.ต. คาดว่าไม่เกิน 1-2 เดือนจะมีการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไร คาดว่าในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้จะสามารถเข้าเทรดได้
ทั้งนี้มาสเตอร์คูลฯ ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop ได้ยื่นแบบเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท ภายหลังการขายหุ้น IPO จะทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 120 ล้านบาท โดยมีบล.ทรีนิตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยบริษัทมีแผนระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนสร้างคลังสินค้าและใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยจะเป็นการขยายคลังสินค้าของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบันบริเวณพื้นที่โรงงานใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ขณะที่ยังเช่าคลังสินค้าอีก 1 แห่งที่ จ.ปทุมธานีด้วย คาดว่าการขยายคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์จะเริ่มได้ในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าเพื่อรองรับการบริหารจัดส่งสินค้าให้ถึงช่องทางการจำหน่ายแก่ลูกค้าทั่วประเทศเป็นหลัก
สำหรับระยะสั้นในปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้งบการตลาดรวม 30-40 ล้านบาทเพื่อทำการตลาดและสื่อสารให้กับลูกค้าให้เข้าใจถึงสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในภาวะที่อากาศร้อนและต้องการประหยัดค่าไฟ ตลอดจนเน้นการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าให้ครอบคลุมทุกจุดเพื่อกระจายสินค้าให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าถึงสินค้าได้ง่ายที่สุด พร้อมกันนี้ก็ยังมีงบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย
ด้านตลาดสินค้าของบริษัทมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากภาวะอากาศที่ร้อนและการทำตลาดที่ดีขึ้น โดยตลาดรวมของเครื่องปรับอากาศและพัดลมในประเทศอยู่ที่ระดับ 2-3 หมื่นล้านบาท เติบโตปีละ 5-7% ขณะที่ยอดขายของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 30% ต่อปี มาอยู่ที่ราว 460 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จากราว 300 ล้านบาทในปี 56 ซึ่งเป็นผลจากการสื่อสารทางการตลาดเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณสมบั้ติของสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยต้องรอดูยอดขายที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ก่อน โดยปกติยอดขายประมาณ 60-70% จะอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งในช่วงต้นปีนี้ตลาดชะลอตัวบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ และภาวะอากาศเย็น แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้เริ่มเห็นยอดขายกลับเข้ามามากขึ้น สำหรับกำไรนั้นในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตค่อนข้างมาก ปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิระดับ 31.40 ล้านบาท จาก 2.72 ล้านบาทในปี 56 ซึ่งเป็นปีที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากและขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายสินค้าพัดลมไอเย็น 50-60%, พัดลมไอน้ำ 30% ส่วนที่เหลือราว 10% เป็นพัดลมระบายอาอากาศ ขณะที่การผลิตสินค้าจากโรงงานจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้ารายย่อย และลูกค้างานอุตสาหกรรม องค์กร ซึ่งขณะนี้โรงงานจะเน้นการผลิตในกลุ่มลูกค้าองค์กร และการพัฒนาสินค้า ส่วนการผลิตสินค้าให้กับลูกค้ารายย่อยนั้นจะเป็นการว่าจ้างภายนอกผลิต (outsource)เพราะควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า ทำให้บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตจากโรงงานในช่วงนี้
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มจำนวนร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเป็น 200 แห่ง จากสิ้นปี 57 ที่อยู่ที่ 100 แห่ง โดยจะเน้นเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด และร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศด้วยจากปัจจุบันตลาดต่างประเทศก็ยังเติบโตได้ดี โดยมีสัดส่วน 15% ของการขาย ส่วนใหญ่ 85% ยังเป็นการขายในประเทศ โดยตลาดหลักในต่างประเทศยังอยู่ในกลุ่มอาเซียน แต่ก็มีการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆทั่วโลกด้วย คาดว่าสัดส่วนการขายในตลาดต่างประเทศน่าจะเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต