SAT พื้นฐานแกร่งรายได้ปี 58 เพิ่ม 10%
อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2558 จะมีฐานกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 2.1 ล้านคัน ทาง SAT เองเราจึงได้วางเป้าหมายทำรายได้เติบโตขึ้น 10%
บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับแนวหน้าของไทย โดยภายใต้โครงสร้างธุรกิจในปัจจุบันและศักยภาพฐานเงินทุน จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ SAT เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงปี 2558
“ยงเกียรติ์ กิตะพาณิชย์” กรรมการผู้อำนวยการ SAT ได้กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจงวดปี 2558 ว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้ตั้งเป้าหมายทำรายได้ปรับเพิ่มขึ้น 10% จากฐานปี 2557 ซึ่งการเติบโตในครั้งนี้เป็นผลบวกมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว และมียอดการผลิตรวมทั้งระบบสูงถึง 2.1 ล้านคัน
โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2558 นี้ ยอดการผลิตจะเติบโตขึ้นทั้งในส่วนของตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมในไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ประกอบกับได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง จึงจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัว ส่วนตลาดส่งออกมีหลายภูมิภาคในต่างประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดีและสนับสนุนให้ยอดส่งออกสูงขึ้นตาม
ขณะเดียวกันทางบริษัทยังได้รับออเดอร์งานใหม่เข้ามาเพิ่ม เช่น โปรเจ็กต์บิ๊กทรัค ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปี 2558มากถึง 150 ล้านบาท อีกทั้ง ออเดอร์กลุ่มรถการเกษตรของคูโบต้ายังเติบโตได้ต่อเนื่อง จึงกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2558 มีรายได้สูงขึ้น 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้
“อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2558 จะมีฐานกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 2.1 ล้านคัน ทาง SAT เองเราจึงได้วางเป้าหมายทำรายได้เติบโตขึ้น 10% โดยในส่วนของตลาดภายในประเทศจะได้รับผลบวกจากกำลังซื้อที่กลับมาฟื้นตัวขึ้น เช่นเดียวกับตลาดส่งออกที่จะแนวโน้มโตขึ้นเช่นกัน”
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาในปี 2558 และถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจของ SAT มีอยู่ 2 ประเด็น โดยปัจจัยแรก คือ กลุ่มออเดอร์งานของรถเกษตรอย่างคูโบต้าที่รักษาการเติบโตเป็นอย่างดี ประกอบกับทางคูโบต้ายังได้วางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น พร้อมกับมุ่งขยายตลาดไปสู่การส่งออก ดังนั้น SAT ในฐานะผู้ได้รับออเดอร์ผลิตจึงมีโอกาสได้รับคำสั่งซื้อสูงขึ้น
โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ปรับสถานะแตกไลน์การผลิตไปสู่กลุ่มรถการเกษตร ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะออเดอร์งานในกลุ่มนี้มีศักยภาพเติบโตได้ระดับสูง ในปี 2557 สัดส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 17% เมื่อเทียบกับโครงสร้างรายได้รวมทั้งกลุ่มของบริษัท
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังอยู่ในระหว่างการศึกษาโอกาสขยายตลาดกลุ่มเครื่องจักรกลการเกษตร เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในเชิงธุรกิจแล้วยังช่วยเพิ่มโอกาสหาช่องทางทำรายได้ใหม่ๆ ซึ่งโครงการนี้จะได้เห็นความชัดเจนภายในช่วงปี 2558
ส่วนปัจจัยที่สอง คือการที่บริษัทมีการเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพโดยการปรับปรุงสายการผลิตโรงหล่อ ICP ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้น
ดังนั้น จากปัจจัยบวกทั้งในเชิงออเดอร์งานที่บริษัทได้รับจากลูกค้าและโครงการลดต้นทุนผ่านโรงงาน ICP จึงทำให้บริษัทได้ประเมินอัตราทำกำไรขั้นต้นของปี 2558 จะปรับเพิ่มขึ้นสูงระดับ 18-19% และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตในกลุ่ม (UTILIZATION) อยู่ที่ระดับ 70-80%
ด้านแผนการใช้เงินลงทุนในปีนี้ ในเบื้องต้นทางบริษัทได้กำหนดงบลงทุนไว้ประมาณ 800 ล้านบาท โดยหลักแล้วยังเป็นการลงทุนเกี่ยวกับด้านเครื่องจักร พร้อมกับลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการผลิต เพื่อรองรับแผนการทำงานในอนาคต โดยเม็ดเงินลงทุนจำนวนนี้จะนำมาจากการกู้สถาบันการเงินและกระแสเงินสดของบริษัท
สำหรับภาพรวมออเดอร์งานในปี 2557 ที่ผ่านมาจะมาจากทางลูกค้ามิตซูบิชิ จำนวน 31% กลุ่มโตโยต้าและฮีโน่รวม 28% กลุ่มคูโบต้าจำนวน 17% และที่เหลือมาจากค่ายรถอื่นๆ ส่วนโครงสร้างรายได้บริษัทแบบลักษณะผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์รถกระบะจำนวน 65% กลุ่มรถคูโบต้า 17% กลุ่มอีโคคาร์ 15% และอื่นๆ
“ยงเกียรติ์” กล่าวอีกว่า แผนงานในเชิงระยะยาว ทางบริษัทได้มองไปถึงกรณีการเปิดโครงการอีโคคาร์เฟส 2 ในช่วงประมาณปี 2561 ซึ่งจะมีกลุ่มค่ายรถยนต์รายใหม่เข้ามาลงทุนสร้างฐานผลิตมากขึ้นอีกหลายเจ้า และถือเป็นเป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเดินหน้าสู่ยอดการผลิต 3 ล้านคัน จากในขณะนี้ที่ผลิตอยู่ระดับ 2 ล้านคัน
โดยในปัจจุบันทาง SAT ได้รับออเดอร์งานลูกค้าจากอีโคคาร์เฟสแรกอยู่แล้ว 5 ค่าย ได้แก่ มิตซูบิชิ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน และซูซูกิ ดังนั้น ทางบริษัทจึงอยู่ในช่วงระหว่างการเตรียมความพร้อมและอยู่ในช่วงศึกษาแนวทางจับมือร่วมกับพันธมิตร เพื่อหาโอกาสเข้ารับออเดอร์งานจากกลุ่มค่ายรถยนต์ใหม่
ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2557 ที่ผ่านมา ทาง SAT ยังคงรักษาภาพรวมผลการดำเนินงานได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยทำรายได้รวมไปทั้งสิ้น 8,238 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 650 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีกจำนวน 0.38 บาทต่อหุ้น
ดังนั้น ในเชิงการสร้างผลตอบแทนคืนสู่ผู้ถือหุ้น ทางบริษัทจึงได้วางเป้าหมายที่รักษาการจ่ายปันผลให้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตามนโยบายของบริษัทได้กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และสำรองตามกฎหมาย โดยในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทได้จ่ายปันผลอยู่ที่ระดับ 40%
“SAT มีนโยบายจ่ายปันผลขั้นต่ำ 30% แต่ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายสูงเกือบถึงระดับ 40% ซึ่งทาง SAT เราได้พยายามที่จะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมองว่าหุ้นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ยังถือเป็นหุ้นที่มีศักยภาพและน่าสนใจ เพราะเป็นกลุ่มที่ธุรกิจที่พร้อมเติบโตได้ต่อเนื่องตามอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย”