คิดว่าถูกแล้วแต่มีถูกกว่า!

–ตามกระแสโลก–

 

สำหรับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ หรือ Brent ปิดตัวในกรอบระหว่าง 65.49 – 67.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยทำจุดสูงสุดไว้ที่ระดับ 69.63 ดอลลาร์เมื่อวันพุทธ และจุดต่ำสุดที่ 65.10 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ส่วนเวสท์เท็กซัสอินเตอร์มิเดียต หรือ WTIปิดในกรอบ 58.92 – 60.93 ดอลลาร์ สูงสุด 62.58 ดอลลาร์เมื่อวันพุทธ และต่ำสุด 58.35 ดอลลาร์ในวันศุกร์

จากตัวเลขดังกล่าว เห็นได้ว่าราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เช่นที่เคยเขียนไว้หลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ว่า ยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานใดๆที่จะเข้ามาสนับสนุนราคาน้ำมันได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้จึงถือเป็นการขึ้นแค่เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยอุปทานยังคงล้นทะลักท่วมโลกอยู่เหมือนเดิม

 

ด้านสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นมา ก็มีทั้งเรื่องสต๊อคน้ำมันทั่วโลกที่ลดลง เหตุการณ์ความไม่สงบในเยเมน การปิดท่าเรือขนส่งน้ำมันของลิเบีย และการอ่อนค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวออกมาไม่ดี แต่ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ถือว่า มีผลบวกต่อราคาน้ำมันแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยจะเห็นได้จากการที่ราคาเริ่มย่อตัวลงอีกครั้งเมื่อวานนี้ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาเมื่อวันพฤหัสบดี

ส่วนในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน ก็อย่างที่เราเห็นกันว่า หลายประเทศผู้ซื้อน้ำมันทั่วโลกประกาศข้อมูลเศรษฐกิจออกมาเป็นที่น่าผิดหวังไปตามๆกัน ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งประเทศไทยเราเอง ส่วนกลุ่มยูโรก็กำลังเผชิญกับปัญหาปวดกบาลจากเด็กดื้ออย่างกรีซอยู่ ดังนั้นอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะไม่มีทางเพิ่มขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่อุปสงค์ที่ชะลอตัว แต่อุปทานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ทั้งหลาย โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบียได้เดินหน้าผลิตน้ำมันออกมาอย่างเต็มที่ จนบางวันผลิตออกมาเกินกว่าลิมิตที่ได้ตกลงไว้กับเจ้าอื่นๆเสียอีก ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีปริมาณน้ำมันส่วนเกินจากความต้องการอยู่สูงถึง 1.30 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งตัวเลขมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก จากอุปทานของอิหร่านที่จะไหลเข้าสู่ตลาดโลกในไม่ช้า

 

 

อิหร่านกำลังจะเข้าสู่โต๊ะเจรจากับ นายเฮลกา ชมิต ผู้แทนของสหภาพอียู ในวันที่ 12 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย โดยนานาชาติมีจุดประสงค์ที่จะให้อิหร่านยอมรับกับข้อตกลงที่จะถูกควบคุมการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการปลดล็อคจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยอียู สหรัฐอเมริกา และชาติพันธมิตรอื่นๆ

มีการคาดการณ์กันว่า มีโอกาสสูงมากที่อิหร่านจะยอมรับข้อแลกเปลี่ยนดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันพวกเขากำลังขาดแคลนเงินทุนที่จะเอามาใช้หมุนเวียนในประเทศอย่างหนัก ซึ่งการได้กลับมาส่งออกน้ำมันอย่างเต็มที่อีกครั้งจะสามารถช่วยต่อชีวิตให้กับอิหร่านได้ ดังนั้นเรื่องที่คุยๆกันไว้ว่าอุปทานตอนนี้ล้นตลาด มันกำลังจะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นกับราคาน้ำมันหากอิหร่านยอมอ่อนข้อตามการคาดการณ์ เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการตรวจสอบข้อมูลของหลายสำนักแสดงให้เห็นว่า อิหร่านมีศักยภาพในด้านการผลิต ที่จะสามารถเติมอุปทานเข้ามาในตลาดได้อีกไม่น้อยกว่าวันละ 1 ล้านบาร์เรล ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับอุปสงค์ที่ระดับในปัจจุบัน นั่นหมายถึงราคาน้ำมันจะถูกกดลงไปอีกประมาณ 5-15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเลยทีเดียว      

ใครที่คิดว่าน้ำมันตอนนี้ถูกแล้ว อาจจะได้เห็นน้ำมันที่ถูกกว่านี้อีก!