HMPRO ชะลอเปิดสาขาเพิ่มไม่กระทบมากราคายังถูกกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม เหมาะลงทุนยาว
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แม้ HMPRO จะชะลอการเปิดสาขาลงเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังมีผลต่อประมาณการไม่มาก ขณะที่ปัจจัยบวกที่รอในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อจะทำให้ทิศทางกำไรเริ่มทยอยฟื้นตัว บวกกับราคาหุ้นยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (11 พ.ค.) ว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยว่า มีแผนชะลอการเปิดสาขาใหม่ปีนี้จาก 8 แห่งเหลือ 5 แห่ง (สมมติฐานกำหนด 8 แห่ง) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด แต่หากภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น จะกลับมาเปิดได้ตามปกติ (มีที่ดินพร้อมแล้ว)
ขณะที่รูปแบบ Mega Home จะเปิด 3-4 แห่ง ใกล้เคียงประมาณการ (เปิดแล้ว 1 แห่งที่ปราจีนบุรี) ทั้งนี้ผลกระทบจากสาขาใหม่ที่เปิดน้อยกว่าสมมติฐาน มีผลกระทบต่อฐานกำไรเพียง 1.5% เพราะเดิมฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเปิดสาขาส่วนใหญ่ในช่วงปลายปีเป็นหลัก จึงยังคงประมาณการเดิม
ขณะที่ ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวเป็นเวลานาน เริ่มส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าบริษัทซึ่งเป็นระดับกลาง-บนบ้างแล้ว จากสัญญาณที่เห็นในด้านการระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญเชื่อว่าเกิดจากด้านบรรยากาศการใช้จ่ายเป็นหลัก ไม่ใช่เกิดจากด้านกำลังซื้อ เพราะลูกค้ากลุ่มที่มียอดซื้อต่อบิลสูงยังเพิ่มขึ้น แสดงถึงกำลังซื้อที่ยังมีอยู่ สะท้อนจากงาน HMPRO EXPO ที่ยอดขายทำได้สูงกว่า
เป้าหมาย
ขณะที่ กลุ่มที่มียอดซื้อต่อบิลต่ำ จะระมัดระวังมากขึ้น แต่โดยภาพรวมยังสามารถรักษายอดขายโดยรวมไว้ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตฯ ทั้งนี้ หากไม่รวมผลของการแย่งลูกค้ากันเองของสาขาใหม่ภาพรวมยอดขายสาขาเดิมของรูปแบบ HMPRO ยังอยู่ในระดับทรงตัว ดีกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย
แต่ประเด็นบวกด้านหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับที่นำเสนอไป คือ ยอดขายของ Mega Home ยังเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง มียอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้นอย่างต่ำ 10% จากปีก่อน และน่าจะคุ้มทุนในงวดครึ่งปีหลังของปี 58 แล้ว บวกกับ การเปิดสาขามาร์เก็ต วิลเลจ (สุวรรณภูมิ) เดือน พ.ค.ที่มีพื้นที่เช่าเพิ่มอีก 20% ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนว่าทิศทางกำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะทยอยฟื้นตัวต่อจากนี้ โดยคาดกำไรปีนี้ยังเติบโตราว 14% จากปีก่อน
แม้จะมี Sentiment เชิงลบระยะสั้นจากการชะลอการเปิดสาขา แต่ราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนผลลบดังกล่าวมากแล้ว โดยซื้อขาย ณ ระดับ PER 58F ที่ต่ำกว่ากลุ่มฯโดยอยู่ที่ 23.6 เท่า เทียบกับกลุ่มฯอยู่ที่ 26.4 เท่า ยังน่าสนใจ และเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท