4 หุ้นจิ๋ว mai โชว์ทีเด็ดกำไร Q1 โตเกิน 100%
เปิดกรุ 4 หุ้นเล็กจากตลาด mai บันทึกกำไรในไตรมาส 1 ปี 58 โตเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ทั้งที่เป็นช่วงเศรษฐกิจซบเซา จนถูกขนานนามให้เป็นหุ้น “จิ๋วแต่แจ๋ว” ตัวจริง
จากการสำรวจข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ในช่วงการประกาศผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai พบว่า มีหุ้นทีเด็ดอยู่ด้วยกัน 4 ตัว ซึ่งประกาศผลการดำเนินงานแล้วมีอัตราการเติบโตได้เกิน 100% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก จนอาจพูดว่าเป็นหุ้นดาวเด่นของตลาด mai ก็ไม่เว่อจนเกินไป
เริ่มต้นที่ผู้ประกอบธุรกิจด้านสปาเจ้าเดียวในตลาดหุ้นอย่าง บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA ซึ่งดูเหมือนกลยุทธ์การขยายสาขาใหม่จะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทค่อนข้างมาก โดยบริษัทได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 23.67 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.042 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 387% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.86 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.012 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ราคาหุ้น SPA วานนี้ (12 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 5.35 บาท ปรับตัวลง 0.45 บาท หรือ 7.76% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 59.50 ล้านบาท
อันดับที่ 2 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 มีกำไรสุทธิ 22.01ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 262% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.07 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.026 บาทต่อหุ้น โดยผลการดำเนินงานที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทกำไรขั้นต้นจากการปรับขึ้นราคา LPG ตามนโยบายภาครัฐ
ขณะที่ราคาหุ้น TAKUNI วานนี้ (12 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 8.08 บาท ปรับตัวลง 0.20 บาท หรือ 2.42% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36.39 ล้านบาท
อันดับที่ 3 บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 มีกำไรสุทธิ 140.43 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.08 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 152% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.83 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (PV Farm) จาก 5 โรง ในช่วงต้นปี 57 เป็น 10 โรง ในช่วงต้นปี 58 ซึ่งมีการรับรู้กำไรของโครงการดังกล่าวตามวิธีส่วนได้เสียในรูปแบบของส่วนแบ่งกำไรจากกิจการที่ควบคุมร่วมกัน
ขณะที่ราคาหุ้น TSE วานนี้ (12 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 6.10 บาท ปรับตัวลง 0.10 บาท หรือ 1.61% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 47.35 ล้านบาท
อันดับสุดท้ายผู้ให้บริการด้านความงามอย่าง บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 103.11 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0112 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 122% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46.41 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0051 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจบริการความงามทำให้กำไรในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ราคาหุ้น EFORL วานนี้ (12 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 1.06 บาท ปรับตัวลง 0.02 บาท หรือ 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52.27 ล้านบาท
โดยหุ้นที่กล่าวมาข้างต้นถือเป็นหุ้นมีพื้นฐานทางธุรกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการของหุ้นเหล่านี้จะพบว่า บริษัทมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสทำกำไรได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป จึงเป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การลงทุน