ธปท.ระบุตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันบาทอ่อนค่าราว 2%, มองระยะต่อไปยังผันผวน
ธปท.ระบุตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันบาทอ่อนค่าราว 2%, มองระยะต่อไปยังผันผวน
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดการเงินไทยตั้งแต่ต้นปี 58 หากนับจากต้นปี ปัจจุบัน(อัตราปิด ณ วันที่ 20 พ.ค.) เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 2% และการเปลี่ยนแปลงค่าเงินที่ขึ้นลงค่อนข้างเร็วส่งผลให้ความผันผวนปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่ประมาณ 3-4% มาอยู่ที่ประมาณ 6-7% อย่างไรก็ดี ความผันผวนโดยเฉลี่ยยังต่ำกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา ค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวผันผวนในสองทิศทางมากขึ้น โดยเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 11 มี.ค. แต่ก็ปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากการประชุม FOMC ของสหรัฐฯซึ่งเนื้อหาในแถลงข่าวเป็นไปในทิศทางที่ผ่อนปรนกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง IMF ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลง รวมทั้งปัจจัยภายในจากการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกของไทย
จากนั้นในช่วงปลายเดือนเม.ย.หลังจากกนง.ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ ประกบกับธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ออมและนักลงทุนไทยได้ลงทุนในต่างประเทศได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างสมดุลให้กับเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะยาว ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ร่วมตลาดปรับมุมมองเกี่ยวกับค่าเงินบาท โดยเห็นว่าค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาตลาดการเงินโลกมีความกังวลเกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ จากคำเตือนของประธาน FED ที่แสดงความกังวลว่าอาจเกิด Overvaluation ในราคาหุ้นและมีความเสี่ยงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะปรับขึ้นเร็ว หาก FED เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ต่างๆ กดดันให้เงินภูมิภาคและเงินบาทอ่อนค่าเร็ว โดยในเดือนพ.ค. ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.18-33.88 บาท
สำหรับในระยะต่อไปค่าเงินยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยตลาดยังคงจับตาการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่แกตต่างกันของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปและญี่ปุ่น รวมทั้งจังหวะเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ขณะเดียวกันตลาดยังคงกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากส่งผลต่อการส่งออกของภูมิภาคเอเชียที่เริ่มเห็นสัญญาณการหดตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา