หุ้นไทยไปได้ต่อ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ช่วงสองเดือนแรกที่ผ่านมาของปี SET Index สามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆแม้จะดูน้อยหน้าไปบ้างตรงที่ SET เราไม่สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลเหมือนตลาดหุ้นสหรัฐ เยอรมัน หรือตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างตลาดหุ้นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย แต่ภาพโดยรวมที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควร


ในช่วงสองเดือนแรกที่ผ่านมาของปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) สามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งแม้จะดูน้อยหน้าไปบ้างก็ตรงที่ SET Index ของเราไม่สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลเหมือนตลาดหุ้นสหรัฐ เยอรมัน หรือเฉกเช่นตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างตลาดหุ้นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียก็ตามที แต่ภาพโดยรวมที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควร “ยืนยง เทพจำนงค์” ผู้อำนวยการอาวสุโส ฝ่ายลงทุน-งานลงทุนในตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด กล่าว

 

“ยืนยง” กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงถัดจากนี้ไป มีปัจจัยอะไรที่นักลงทุนควรจะต้องนำมาพิจารณาเพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนกันบ้าง เชื่อว่า ปัจจัยสำคัญยังคงเป็นสภาพคล่องทางการเงินทั่วโลกที่ยังมีอยู่สูง อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลจากการใช้นโยบายทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางต่างๆ ที่มุ่งเน้นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิ จะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นก็น่าจะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องต่อไปครับ แต่จะมีสะดุดได้บ้างในระหว่างทาง ก็คงเป็นท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนับตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งน่าจะทำให้ภาวะการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนในตลาดการเงินมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น กลับมามองถึงภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย

 

สำหรับเดือนมีนาคม นี้ คิดว่าภายหลังจากการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/57 เท่าที่สำรวจตรวจสอบดูก็พบว่า ค่อนข้างน่าผิดหวังไม่น้อย แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการมองไปข้างหน้า ที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยในช่วงสองเดือนแรกของปีก็ยังไม่มีวี่แววของการฟื้นตัวขึ้นได้อย่างที่คาดหวัง ดูท่าว่าบรรดานักวิเคราะห์คงจะเริ่มทยอยปรับลดตัวเลขทางเศรษฐกิจและการคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในปี 2558 ลงตามมา

สำหรับผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจเองก็ออกอาการนั่งไม่ติดเอาเหมือนกัน ต้องเร่งสั่งการการเบิกจ่ายด้านการลงทุนภาครัฐ ซึ่งผ่านมาแล้ว 5 เดือนของปีงบประมาณ 2558 ก็ยังทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายค่อนข้างมาก การส่งออกที่เคยเป็นความหวัง ดูเหมือนว่าจะออกอาการสะดุดต่อ จะกระตุ้นอะไรก็คงทำได้ไม่มากนัก เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การเปิดตลาดใหม่ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปและต้องใช้เวลา

ส่วนการบริโภคภายในประเทศ ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำประกอบกับภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง จะให้จับจ่ายใช้สอยโดยมองไม่เห็นโอกาสที่จะได้รับรายได้เพิ่มก็คงทำได้ลำบาก คงมีแต่การลงทุนภาครัฐเท่านั้นที่จะเป็นตัวช่วยฉุดภาวะซึมกระทือทางเศรษฐกิจเช่นนี้ได้ครับ สำหรับภาวะทางการเมืองภายในประเทศ ที่ดูเหมือนสงบราบรื่นในช่วงที่ผ่านมา ไตรมาสสองปีนี้คงได้เริ่มเห็นแรงกระเพื่อมในช่วงโค้งสุดท้ายของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ครับ…ขอให้รออีกไม่นาน  แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา…ดังว่า

 

“ยืนยง” กล่าว กลยุทธ์ในช่วงถัดจากนี้ไปภายหลังการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงกว่า 9 เดือนที่ผ่านมา หากจะดูที่ระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยแล้ว ก็คงต้องยอมรับว่าเป็นระดับที่ “ไม่ถูก” ถ้ามาดูถึงระดับหุ้นรายตัว ก็พบว่าหุ้นหลายตัว มีราคาที่ค่อนข้าง “แพง” แล้วด้วยซ้ำไปครับ ด้วยความคาดหวังว่าที่ค่อนข้างสูงถึงภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยและนโยบายในการกระตุ้นการลงทุนที่คาดว่าจะได้เห็นเป็นรูปธรรมในปีนี้ การปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นไทยในช่วงหลังๆ ก็เป็นไปในลักษณะของการซื้อขายเก็งกำไรของนักลงทุนในประเทศที่ชี้นำทิศทางของตลาด ซึ่งเราน่าจะได้เห็นแรงเทขายทำกำไรสลับเป็นระยะ

ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา และเพื่อพร้อมรับกับความผันผวนที่น่าจะมีมากยิ่งขึ้นในช่วงที่เหลือของปี เดี๋ยวนี้ตลาดหุ้นแกว่งตัวขึ้น-ลง 10-20 จุด ในวันเดียวเริ่มถี่ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกับสภาพคล่องที่สูงยังสนับสนุนการลงทุนในหุ้นก็ตาม ผมคิดว่าในภาพรวมของพอร์ตการลงทุน เราควรจะต้องพิจารณาถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนลงบ้าง วิธีหนึ่งก็คือการกระจายความเสี่ยง โดยอาจกระจายเม็ดเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น การลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ

หรือถ้าใจรักยังอยากลงทุนในหุ้นต่อ ก็คงต้องเริ่มลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น “ซิ่ง” ที่ซื้อขายด้วย “สตอรี่” ลงมาบ้าง อย่างว่าเวลานั่งรถซิ่งมันก็ถึงที่หมายเร็ว แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย จะเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดหรือจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นพื้นฐานก็สุดแล้วแต่ถนัดครับ ซึ่งวิธีนี้ก็คือการปรับลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนที่เรียกว่า “ลดเบต้า” นั่นเอง หรือถ้าจะเลือกเข้าลงทุนในหุ้นปันผลก็เป็นจังหวะที่ดี โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ก็เป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศการจ่ายเงินปันผลด้วย ก็จะเป็นการช่วยลดแรงกระแทกหากตลาดเกิดมีการปรับฐานในระยะสั้น ผมคิดว่ายังมีหุ้นที่ยังจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราที่สูงอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างในปัจจุบันครับ

 

สำหรับเป้าหมายดัชนีฯ ในช่วงที่เหลือของปี 58 นี้ บมจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) ให้เป้าหมายดัชนีฯ ที่ 1,680 จุดครับ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวมได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

Back to top button