TMI แย้มศึกษาลงลึกธุรกิจโซลาร์-มั่นใจปีนี้พลิกเป็นกำไร-โอกาสรายได้ทะลุเป้า

TMI แย้มศึกษาลงลึกธุรกิจโซลาร์-มั่นใจปีนี้พลิกเป็นกำไร-โอกาสรายได้ทะลุเป้า


นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงรายละเอียดธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์) ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ส่องสว่างที่บริษัทดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะมีข้อสรุปเมื่อใด

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะพลิกกลับมามีกำไร หลังจากปีก่อนเกิดผลขาดทุนสุทธิราว 1.31 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 35 ปี เนื่องจากปีก่อนได้รับผลกระทบจากทั้งราคาขายและปริมาณขายที่ปรับตัวลดลง หลังจากดีมานด์ลดลงและมีการเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่มาเป็นหลอด LED ที่สร้างความตื่นตัวให้กับตลาดเป็นอย่างมาก ทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ขณะที่บริษัทเป็นผู้ชำนาญในตลาดบัลลาต โคมไฟ และหลอดไฟตามถนน อาคารขนาดใหญ่

แต่ในปีนี้บริษัทเชื่อว่ารายได้จะมีโอกาสเติบโตได้ถึง 35% สูงกว่าเป้าหมายอย่างเป็นทางการที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 20% เนื่องจากคาดว่าจะได้รับผลดีจากการที่ภาครัฐมีนโยบายเร่งรัดโครงการลงทุนต่าง ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลงานในไตรมาส 3/58 และไตรมาส 4/58 ที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะจะเห็นผลอย่างขัดเจนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เป็นช่วงเข้าสู่การตกแต่งอาคารต่าง ๆ ภายหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จด้วย

ส่วนไตรมาส 2/58 คาดว่าผลประกอบการอาจจะทรงตัว หลังจากไตรมาส 1/58 พลิกกลับมากำไรสุทธิแล้ว 2.7 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 4.08 ล้านบาท ขณะที่รายได้เติบโตกว่า 48% รับผลดีจากที่บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยการหันมาเน้นงานโครงการ จากเดิมที่ขายผ่านตัวแทนขายทั้งยี่ปั๊ว-ซาปั๊วเป็นหลัก รวมทั้งรุกตลาดหลอด LED ทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะในการทำตลาดผ่านออนไลน์และโมเดิร์นเทรดที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นตัวชูโรง

ประกอบกับ บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาวางตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าในตลาดพิเศษที่เป็นหลอดไฟเฉพาะด้าน ได้แก่ หลอดไฟเรือประมง หลอดไฟเลี้ยงปลา และหลอดไฟสนามกีฬา เป็นต้น พร้อมทั้งหันมาขยายตลาดส่งออกทั้งเวียดนาม พม่า และเขมรมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เนื่องจากมองว่าตลาดในประเทศยังไม่ค่อยฟื้นตัวขึ้นมากนัก ซึ่งคาดว่าในปีนี้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15%

Back to top button