พาราสาวะถีอรชุน
เว้นวรรคไม่เขียนถึงเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวกรณี “บิ๊กแจ๊ด” พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ถูกจับกุมด้วยข้อหาพกอาวุธปืนที่สนามบินญี่ปุ่น เพราะอยากรอดูปฏิกิริยาของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่า พวกที่สุดโต่งคือเกลียดระบอบทักษิณ ก็ยังคงหาเรื่องเชื่อมโยงเป็นตุเป็นตะกันไปได้ นี่แหละคือหัวใจสำคัญของปัญหาว่า เหตุไฉนความตั้งใจที่จะสร้างความปรองดองขององค์รัฏฐาธิปัตย์ถึงสุ่มเสี่ยงเป็นหมัน
เว้นวรรคไม่เขียนถึงเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวกรณี “บิ๊กแจ๊ด” พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ถูกจับกุมด้วยข้อหาพกอาวุธปืนที่สนามบินญี่ปุ่น เพราะอยากรอดูปฏิกิริยาของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่า พวกที่สุดโต่งคือเกลียดระบอบทักษิณ ก็ยังคงหาเรื่องเชื่อมโยงเป็นตุเป็นตะกันไปได้ นี่แหละคือหัวใจสำคัญของปัญหาว่า เหตุไฉนความตั้งใจที่จะสร้างความปรองดองขององค์รัฏฐาธิปัตย์ถึงสุ่มเสี่ยงเป็นหมัน
เพราะคนฝ่ายหนึ่งไม่พยายามที่จะหาเหตุหาผลใดๆ มาถกเถียง แต่ใช้วิธีการสีข้างเข้าถูเพื่อความสะใจ ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วกรณีของบิ๊กแจ๊ดถือเป็นความผิดพลาดส่วนบุคคล จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ เมื่อรู้ว่าผิดก็ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการเท่านั้น รัฐบาลเองก็ต้องช่วยเหลือตามที่กฎหมายเปิดช่องให้
จะไปถือว่าเป็นพวกของทักษิณเพราะวลี “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ก็คงจะใช่ที่ ในฐานะคนไทยและคนที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและสังคม และวันนี้บิ๊กแจ๊ดเองก็ยังบำเพ็ญประโยชน์นั้นอยู่ด้วยการช่วยเหลือคนเจ็บคนป่วยในการฝังเข็ม ก็จำเป็นที่รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยเหลือตามสมควร ส่วนกระบวนการหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่ทางญี่ปุ่นเขาต้องดำเนินการตามหลักกฎหมายของเขา
ส่วนกรณีคำถามที่ว่า แล้วอาวุธปืนที่พกไปจากเมืองไทยผ่านด่านการตรวจสอบที่เข้มงวดไปได้อย่างไร แม้จะมีความพยายามในการชี้แจงแถลงไขถึงความบริสุทธิ์ใจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องรับฟังกันไปตามนั้น แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับกันก็คือ ขึ้นชื่อว่าประเทศไทยย่อมมีอภิสิทธิ์กันอยู่บ้าง ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า ส่วนหนึ่งที่เล็ดลอดเป็นเพราะการหลิ่วตาข้างหนึ่งหรือไม่
ต้องถือเป็นความโชคดีของหน่วยงานที่รับผิดชอบไล่ตั้งแต่บริษัท การท่าอากาศไทย จำกัด (มหาชน) ลงไปจนถึงหน่วยงานในสังกัด เพราะสถานการณ์วันนี้จากที่ไทยถูกไอเคโอปักธงแดง เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ จึงจะไปกล่าวโทษและชี้ว่าเป็นความหละหลวมขององค์กรที่รับผิดชอบไม่ได้ มันจะถูกโยงไปเรื่องมาตรฐานที่กำลังถูกเพ่งเล็งอยู่ แม้จะไม่ใช่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่หากคนจะหาเหตุย่อมนำไปเชื่อมร้อยกันได้ ถือว่ารอดตัวไป
การจับกุม 14 นักศึกษาในนามกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ภายในสวนเงินมีมา ย่านเจริญนครซึ่งเป็นพื้นที่ของ สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ หรือ ส.ศิวลักษณ์ จนเจ้าตัวต้องติดตามไปถามหาคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสน.พระราชวังแต่ไม่ได้คำตอบ จึงหลุดคำว่า “พวกสากกะเบือ” ออกมา บางฝ่ายมองว่านี่เป็นการเสียหน้าของคนชนชั้นสูงที่ถูกหลอกจากกลุ่มอำนาจ
ประเด็นที่ชวนคิดคือ คำพูดของ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบกที่บอกว่า รู้กลุ่ม รู้ชื่อเสียงหมดแล้ว และจะต้องมีการพูดคุยกัน ขอให้ผู้ที่ให้การสนับสนุนหยุด ตรงนี้เป็นการตีความหมายในส่วนของผู้ให้สถานที่พักพิงหรือกลุ่มทุนสนับสนุน แต่น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า เพราะนักศึกษากลุ่มนี้อย่างดาวดิน ต้องยอมรับว่า เคลื่อนไหวช่วยชาวบ้านจากปัญหาความเดือดร้อนมานานจนได้รับความเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทั้งหมดของผู้ที่ดูแลความมั่นคงไล่ระดับมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จนมาถึงผบ.ทบ. คงเป็นหลักฐานเด็ดที่นำไปสู่การจับกุมนักศึกษาพร้อมข้อกล่าวหากระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 116 ขณะที่การออกหมายจับก็กระทำการกันในช่วงเย็นก่อนจะดำเนินการฝากขังในช่วงค่ำทันที
มีการตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า น่าจะเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะนำตัวนักศึกษาไปขังไว้ก่อน 2 วันเพราะติดวันหยุดราชการเสาร์-อาทิตย์ ก่อนที่ทีมทนายความจะสามารถดำเนินการใดๆ ได้ในวันจันทร์ต่อมา กระนั้นก็ตาม ฝ่ายกลุ่มเคลื่อนไหวมองว่า นั่นเป็นปฏิบัติการในเรื่องดีๆ แบบมีขั้นตอน ที่จะทำให้ผลสะท้อนมาถึงพลังฝ่ายประชาธิปไตยให้ขยับขับเคลื่อน โดยที่ไม่รู้ว่าจะนำไปสู่แนวโน้มการเผชิญหน้าหรือไม่
ต้องไม่ลืมว่า ภายหลังการจับกุมได้มีมวลชนจำนวนหนึ่งออกมาเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว เลิกตั้งข้อหากับนักศึกษาทั้ง 14 คน ขณะที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศก็แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการดำเนินการดังกล่าว โดยมีทั้งกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชนและองค์กรฮิวแมน ไรท์วอตช์
โดยกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิกข้อหาและปล่อยตัวนักศึกษาทั้ง 14 คนทันที พร้อมบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ภูมิภาคอาเซียนต้องร่วมยืนหยัดเคียงข้างนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย ขณะที่ฮิวแมน ไรท์วอตช์ เรียกร้องว่า หลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศระบุห้ามรัฐบาลใช้ศาลทหารพิจารณาคดีพลเรือนในขณะที่ศาลพลเรือนยังใช้การได้อยู่
นอกจากนั้น ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกสื่อสารกับรัฐบาลไทยให้ยุติการคุกคามและให้เคารพหลักสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักสากลด้วย แต่เสียงเรียกร้องเหล่านั้นคงไม่มีพลังมากมายมหาศาล สิ่งที่น่าจับตามากกว่าคือ กลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่อยู่ภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยย้ำมาโดยตลอด นั่นก็คือ กลุ่มปัญหาความเดือดร้อน
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ เป็นทุกข์กับภัยแล้งคุกคาม จากที่เคยอดทนอาจจะไม่ยอมจำนนอีกต่อไป แม้ประชาธิปไตยจะถูกควบคุม แต่ปัญหาปากท้องของประชาชนมันจะทนอดต่อไปอีกไม่ได้ สถานีต่อไปที่ฝ่ายผู้มีอำนาจพึงตระหนักคือ ปัญหาทางสังคม ที่ท้ายที่สุดจะหนีไม่พ้นต้องเริ่มต้นเรียกร้องด้วยแนวทางประชาธิปไตยนั่นก็คือการชุมนุมตามท้องถนนนั่นเอง
เห็นผู้มีอำนาจสูงสุดใช้มาตรา 44 เล่นงาน 71 ข้าราชการทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ มีคำถามมาจากคนเมืองหลวงว่า เหตุใด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงไม่มีคำสั่งพักงานผู้ว่าฯ กทม.บ้าง รัฐบาลจะได้ใช้กลไกที่มีอยู่อย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือคนกรุงเทพฯ จากภาวะน้ำท่วม ซึ่งก็มีคนค่อนขอดว่า เหตุที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะบิ๊กตู่รู้อยู่แล้วว่าถึงปลดไปใครก็มาแก้น้ำท่วมและรถติดไม่ได้อยู่ดี เรื่องอะไรจะต้องมาให้ถูกด่าฟรี ที่โดนอยู่ทุกวันนี้ก็หงุดหงิดอารมณ์เสียพอแล้ว (ฮา) รับทราบตามนี้