KBANK คงเป้าสินเชื่อทั้งปีโต 6% เผยคุม NPL ให้ไม่เกิน 2.5%
KBANK คงเป้าสินเชื่อทั้งปีโต 6% แม้มองครึ่งปีหลังโตใกล้เคียงครึ่งปีแรก มั่นใจคุม NPL ปีนี้ไม่เกิน 2.5% แม้ SME-รายย่อยอาจมีปัญหาชำระหนี้
นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเป้าการขยายตัวของสินเชื่อรวมปีนี้ที่ 6% โดยมองว่าในครึ่งปีหลังของปีนี้การขยายตัวของสินเชื่อรวมจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/58 สินเชื่อรวมของธนาคารขยายตัวราว 2% แม้ว่าธนาคารจะได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้าไปพอสมควรแล้ว แต่ลูกค้ายังไม่มีการเบิกออกไปใช้มากนัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยยังไม่ดี ทำให้ลูกค้ารายย่อย รวมไปถึงผู้ประกอบการต่างๆ ที่เป็นลูกค้าของธนาคารชะลอการเบิกเงินออกไปใช้จ่าย
ทั้งนี้ธนาคารยังเชื่อมั่นว่าดูแลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย (NPL) ในปีนี้ให้อยู่ในสัดส่วนไม่เกิน 2.5% ของสินเชื่อรวม แม้ว่ากลุ่มธุรกิจ SMEs และลูกค้ารายย่อยบางรายอาจมีปัญหาในการชำระหนี้บ้าง จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้นมากนัก แต่ธนาคารก็ยังมีการติดตามและควบคุมหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ธนาคารมองอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ยังมีโอกาสขยายตัวได้ 3% แม้ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมากทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ
โดยธนาคารมองว่าสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศให้ขยายตัวต่อไปได้ คือ นโยบายการคลัง ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆ ให้เร็วมากกว่านี้ เพื่อช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและครัวเรือนให้กลับมาฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งยังเป็นการทำให้เงินนั้นไหลเข้าระบบมากขึ้น จากปัจจุบันที่คนไม่มีความมั่นใจในการใช้จ่าย ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง
นอกจากนั้น ภาครัฐควรมีการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น โดยเน้นกลุ่มคนชั้นกลางและระดับบนที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ มากกว่าไปเน้นกลุ่มคนชนล่างที่กำลังซื้อลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งภาครัฐอาจนำนโยบายต่างๆ เช่น มาตรการทางด้านภาษีมาใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มขึ้น ส่วนนโยบายการเงินนั้นได้ใช้ไปมากแล้วและมองว่ามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก
ส่วนปัญหาของกรีซที่มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้และออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป(อียู)นั้น นายธีรนันท์ มองว่า มีความเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเชียไม่มากนัก เห็นได้จากวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ อีกทั้งไม่ได้เกิดผลกระทบทำให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไปอีกมากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายออกไปมากแล้ว ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ยังถือครองหุ้นอยู่ก็ยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ของกรีซว่าหากเอาเงินออกไปแล้วจะเข้าไปลงทุนตลาดในประเทศใดดี