PTT เล็งนำธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ
PTT คาดธุรกิจน้ำมันปีนี้รายได้-กำไรโตเล็กน้อย เผยอยู่ระหว่างศึกษาการนำธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าธุรกิจน้ำมันปีนี้จะมีรายได้-กำไรดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย หลังคาดว่าปีนี้จะไม่ได้รับผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเหมือนในปีที่ผ่านมา
เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเมื่อสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่กว่า 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะเดียวกันยังเดินหน้าศึกษาแยกธุรกิจน้ำมันออกจากกลุ่ม ปตท.มูลค่าเป็นแสนล้านบาทเพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 57 ธุรกิจน้ำมันของ ปตท.มียอดขายราว 6.38 แสนล้านบาท จากยอดขายรวมของ ปตท.ที่ 2.8 ล้านล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA)ราว 1.16 หมื่นล้านบาท จาก EBITDA รวมของ ปตท.ที่ 2.51 แสนล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจน้ำมันของปตท. ดำเนินธุรกิจหลักในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ,ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) และผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ครอบคลุมการตลาดค้าปลีก ,การตลาดพาณิชย์ ,การจัดหาและจัดส่งปิโตรเลียม ,การบริหารและการปฏิบัติการคลัง,การลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ปตท.ยังคงเดินหน้าศึกษาเพื่อแยกธุรกิจกลุ่มน้ำมัน เพื่อให้มีความชัดเจนและเตรียมพร้อมทางเลือกต่างๆที่เหมาะสมในอนาคต โดยก่อนหน้าศึกษาแยกเฉพาะธุรกิจนอนออยล์ หรือ ธุรกิจนอนออยล์และค้าปลีก หรือ รวมธุรกิจคลัง LPG เข้าไปด้วย
โดยเบื้องต้นเห็นว่าควรจะแยกธุรกิจน้ำมันออกมาทั้งหมดมูลค่าเป็นแสนล้านบาท น่าจะเป็นผลดีต่อภาพรวมมากกว่า ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ที่สูง และธุรกิจที่มีความเกื้อกูลกันทั้งนอนออยล์และน้ำมัน ซึ่งจะทำให้เกิดการประสานประโยชน์ร่วมกัน(synergy) ได้ดีกว่า แต่บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อใด แต่เป็นการเตรียมความพร้อมหากมีความเหมาะสมในอนาคต
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ PTT ระบุว่า ปตท.อยู่ระหว่างศึกษาการนำธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากมองว่าเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตดี ขณะที่ เห็นว่าการแยกธุรกิจจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการถูกโจมตีว่าธุรกิจปตท.ใหญ่เกินไป จนทำให้เกิดการผูกขาด
ด้านนายชวลิต พันธ์ทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน PTT กล่าวว่า สำหรับการลดปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปตามกฎหมายเหลือระดับ 1% จาก 6% ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้ อาจไม่ได้ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันปรับลดลงเท่าที่เคยคาดไว้ที่ 8-9 สตางค์/ลิตร เนื่องจาก ปตท.ยังคงต้องสำรองน้ำมันเก็บไว้ในสต็อกราว 3-4% ซึ่งมากกว่าที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นสต็อกใช้ในการดำเนินงาน