KTAM ขายกองKT-China RMF ถึง 12ธ.ค.นี้
KTAM ขายกองทุน KT-China RMF มูลค่า 1,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท ถึง 12 ธ.ค.นี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทมไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (KT-China) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้คาดว่ายังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกในระยะยาว ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในกองทุน RMF บริษัทจึงเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-China RMF) ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-12 ธ.ค.60 มูลค่า 1,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม หรือตามอัตราส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
ทั้งนี้ กองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) มีวัตถุประสงค์ เพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) และจะลงทุนอย่างน้อย70% ของสินทรัพย์รวมของกองทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจีนหรือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนที่จดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ
โดยกองทุนจะเน้นการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในรูปเงินสกุลฮ่องกงดอลล่าร์ (HKD) และกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปตามแนวทางเศรษฐกิจใหม่ของจีน ( China ‘s New Economic) ซึ่งประกอบด้วยหุ้นในกลุ่มการบริการทางการเงิน โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ พลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
สำหรับทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์มากในการวิเคราะห์ และการลงทุนในหุ้นจีน โดยการเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up และเป็นกองทุนรวมหลักระดับ 4 ดาวจาก Morningstar (ข้อมูล ณ 31 ต.ค.60) โดยหุ้นที่มีการลงทุนใน 5 อันดับแรกได้แก่ Alibaba Group Holding, Tencent Holding, ICBC, Bank of China และ Baidu ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนที่เน้นเศรษฐกิจแบบใหม่ด้วยรูปแบบดิจิตอล (New Economy) มากกว่าภาคอุตสาหกรรมและการผลิต (Old Economy)
สำหรับแนวโน้มการลงทุน จีนเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง และรัฐบาลจีน ยังมุ่งเน้นถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
โดยลดความเสี่ยงต่างๆที่จะทำให้ประเทศถดถอย การกระจายรายได้สู่ชนบท และการต่อต้านกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ จีนมีแผนการลงทุนระยะยาวในโครงการ Belt and Road ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อเส้นทางการค้า และการคมนาคมกับอีกหลากหลายประเทศทั้งในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้มีการเจริญเติบโตในระยะยาว จีนมีแนวทางที่จะปฏิรูปรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ
ทั้งนี้จะผลักดันให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น ลดการสนับสนุนให้น้อยลง ซึ่งตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจที่จะได้รับการจัดสรรทรัพยากรของประเทศนั้นๆอย่างมีประสิทธิภาพ
ในปีนี้จีนตั้งเป้า GDP เติบโตประมาณ 6.5 % สูงกว่าสหรัฐที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 2.3 % ยุโรป 1.5% หรือประเทศไทยที่ 3.5% ตลาดหุ้นจีนยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการคาดการณ์ผลกำไรที่เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ
รวมถึงยังมีปัจจัยสำคัญคือการทบทวนการนำหุ้นจีนจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น ซึ่งเป็นตลาดจดทะเบียนหุ้น A-share เข้ารวมในการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Markets Index ในเดือน มิ.ย.นี้ ซึ่งหากดัชนี A-Share สามารถเข้ารวมในดัชนี MSCI ได้จะทำให้ตลาดมีเงินทุนไหลเข้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน KT-China ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 4.13% 3 เดือน อยู่ที่ 6.92% และ 6 เดือน อยู่ที่ 17.93% ส่วนเกณฑ์มาตรฐาน AIMC ย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 3.57% 3 เดือน อยู่ที่ 8.94% และ 6 เดือนอยุ่ที่ 20.41%