SCBAM ทุ่ม 1.19 พันลบ. จ่ายปันผล 3 กองรวด
SCBAM ทุ่ม 1.19 พันลบ. จ่ายปันผล LTF 3 กองรวด 19 ม.ค.นี้
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 – วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ในอัตรา 0.6500 บาทต่อหน่วย
รวมทั้งกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) ในอัตรา 0.600 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) อัตรา 0.5000 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าประมาณ 1,186 ล้านบาท โดยจะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 19 มกราคม 2561 นี้
สำหรับกองทุน LTF ทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยกองทุนที่มีผลงานที่โดดเด่น คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 17.16% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 20.59% สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET TRI ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 12.66% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่17.30% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ธ.ค.60)
โดยการจ่ายปันผลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 16 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 3.9600 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 15.53% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 18.65% สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET TRI ที่มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 12.66% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 17.30% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ธ.ค.60)
โดยการจ่ายปันผลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 13 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 2.9200 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม และมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ ไม่เกินกว่าร้อยละ 35 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
ด้านกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่12.97% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 15.47% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET TRI ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 12.66% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 17.30% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ธ.ค.60)
โดยการจ่ายปันผลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 21 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 4.8750 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายปันผลอยางสม่ำเสมอ เฉลี่ยในปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 และไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
นอกจากนี้บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 61 ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยบวกทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ โดยเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกและตัวเลขนักท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่จะได้ปัจจัยบวกจากนโยบายภาครัฐที่ช่วยสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย และการฟื้นตัวภาคเอกชนจากนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ในธุรกิจใหม่ๆ อย่างจริงจัง เหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้าอีกทางหนึ่ง โดยคาดว่าหุ้นไทยในปี 61 มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปอยู่ระดับ 1,830-1,900 จุด
สำหรับปัจจัยที่จำเป็นต้องติดตามส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งอัตราและจังหวะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา การเร่งตัวของการลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรป และเศรษฐกิจจีนว่าจะยังมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องได้ดังคาดหรือไม่ โดยปัจจุบันความเสี่ยงดังกล่าวเป็นที่รับรู้ไปมากแล้ว จึงจัดเป็นระดับความเสี่ยงที่ไม่สูงนัก หุ้นจึงยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตามอาจมีความเสี่ยงที่สร้างความผันผวนได้เป็นระยะสั้นๆ บ้าง เช่น ปัญหาการเมืองและความไม่สงบในตะวันออกกลาง ปัญหาความขัดแย้งเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ เป็นต้น
“เนื่องจากหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามความคาดหวังที่เศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตในระดับค่อนข้างสูงไปในระดับหนึ่งแล้วจึงมีโอกาสที่หุ้นไทยจะมีการพักตัวบ้างเป็นระยะสั้นๆ หรือในบางช่วงอาจมีจังหวะที่หุ้นไทยปรับตัวลงเป็นจากข้อมูลที่ออกมาต่ำกว่าคาด แนะนำให้ใช้จังหวะพักตัวนี้สะสมหุ้นเพิ่มเติม” นายสมิทธ์ กล่าว