ธนาคารกรุงเทพเปิดทำการสาขากัมพูชาเพื่อขยายกลุ่มลูกค้า CLMV เต็มรูปแบบ

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ธนาคารได้มีการเปิดทำการธนาคารกรุงเทพ สาขากัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นสาขาต่างประเทศที่ 29 หลังจากที่ธนาคารกลางของประเทศกัมพูชาอนุญาตให้เปิดทำการสาขาในวันที่ 30 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมา ซึ่งสาขาดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสาขาที่ให้บริการทางการเงินอย่างครอบคลุมทั้งบริการบัญชีเงินฝาก สินเชื่อธุรกิจ บริการเพื่อธุรกิจส่งออกและนำเข้า บริการโอนเงินต่างประเทศ บริการแลกเงินตราต่างประเทศ


นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ธนาคารได้มีการเปิดทำการธนาคารกรุงเทพ สาขากัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นสาขาต่างประเทศที่ 29 หลังจากที่ธนาคารกลางของประเทศกัมพูชาอนุญาตให้เปิดทำการสาขาในวันที่ 30 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมา ซึ่งสาขาดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสาขาที่ให้บริการทางการเงินอย่างครอบคลุมทั้งบริการบัญชีเงินฝาก สินเชื่อธุรกิจ บริการเพื่อธุรกิจส่งออกและนำเข้า บริการโอนเงินต่างประเทศ บริการแลกเงินตราต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การขยายสาขาไปในกัมพูชานับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ธนาคารบรรลุเป้าหมายของการเป็นธนาคารชั้นนำในภูมิภาค ที่สามารถให้บริการครบวงจรแก่ลูกค้าทุกลุ่ม อีกทั้งยังเป็นฐานในการรองรับลูกค้าที่สนใจในการลงทุนในประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV) ซึ่งธนาคารมองโอกาสและจังหวะที่ดีในการขยายสาขาที่กัมพูชา

ทั้งนี้ ธนาคารยังคงสัดส่วนรายได้จากการทำธุรกรรมต่างประเทศที่ 17-18% แม้ว่าจะมีการเปิดสาขากัมพูชา ณ กรุงพนมเปญอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากสาขาในต่างประเทศจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี ในการสร้างฐานลูกค้าและการขยายการเติบโต ทำให้ไนช่วงแรกนั้นยังไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการทำธุรกรรมในต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกธนาคารจะเน้นฐานลูกค้าในประเทศไทยที่มีการลงทุนในกัมพูชาก่อน และจากนั้นจะขยายฐานเข้าไปในลูกค้ากัมพูชา โดยภาคธุรกิจที่ธนาคารเล็งเห็นว่ามีการลงทุนมากและจะมีการเติบโตในอนาคตในประเทศกัมพูชา ได้แก่ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข่องกับเกษตรและอาหาร ภาคธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันภาคธุรกิจดังกล่าวมีผู้ประกอบการในประเทศไทยเข้ามาขยายการลงทุนไนประเทศกัมพูชาบ้างแล้ว

สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่าจะยังมีโอกาสที่จะขยับตัวขึ้นได้ จากการที่ภาครัฐเริ่มมีความชัดเจนในการลงทุนต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว กระทบภาคการส่งออกไทยซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็ได้มีการช่วยเหลือและแก้ปัญหาต่างๆเพื่อกระตุ้นภาคการส่งออกของไทยให้ฟื้นตัวขึ้น ควบคู่ไปกับการวางรากฐานของเศรษฐกิจไทยให้มีการเติบโตขึ้น อย่างเช่น การลงทุนของภาครัฐ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ระดับ 1.5% นายชาติศิริ มองว่า มีความเหมาะสมแล้ว เพราะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีการฟื้นตัวขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ในระยะต่อไปหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีการปรับขึ้นหรือลง ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางของเศรษฐกิจไทยว่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นจากปัจจุบันที่ยังชะลอตัวอยู่หรือไม่ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามกลไกตลาด

 

Back to top button