บลจ.กรุงไทยชี้เป้า SET ปีนี้ 1,580 จุดแนะลงทุน RMF-LTF ช่วงตลาดผันผวน

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า เป้าหมายดัชนีของบริษัทในปีนี้อยู่ที่ 1,580 จุด ซึ่งในช่วงเวลานี้ที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนทั่วไปที่ลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต หลังมองหุ้นหลายบริษัทยังคงมีศักยภาพของผลประกอบการที่เติบโต


นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า เป้าหมายดัชนีของบริษัทในปีนี้อยู่ที่ 1,580 จุด ซึ่งในช่วงเวลานี้ที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนทั่วไปที่ลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต หลังมองหุ้นหลายบริษัทยังคงมีศักยภาพของผลประกอบการที่เติบโต

ดัชนีหุ้นไทยมีความผันผวนสูงตลอดครึ่งปีแรกของปี 58 โดยปรับตัวลงมาตลอดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.พ. จากจุดสูงสุดของปีที่ 1,615.89 จนถึงปัจจุบันที่ลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดของปีที่ระดับ 1,430.22 จุด ณ วันที่ 27 ก.ค. ซึ่งปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดถึง 12.98% สาเหตุเกิดจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ความกังวลต่อการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ รวมถึงสภาวะตลาดหุ้นของจีนที่ปรับตัวลงแรงในช่วงเดือนมิ.ย.

ส่วนปัจจัยในประเทศ ช่วงที่ผ่านมากลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากแนวโน้มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ที่ธุรกิจต่างๆอาจจะเริ่มมีปัญหาและส่งผลต่อภาคธนาคารได้ อย่างไรก็ตามฐานะทางการเงินของธนาคารไทย ถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก ยังห่างไกลจากจุดที่จะทำให้เกิดปัญหาได้ รวมถึงกลุ่มพลังงานยังคงได้รับแรงกดดันอยู่ จากที่ราคาน้ำมันได้เริ่มปรับตัวลดลงอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง ในขณะที่ยังมีหลายหลักทรัพย์ที่ยังคงมีศักยภาพในการเจริญเติบโตของผลประกอบการอยู่ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้น

พร้อมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากทางภาครัฐ สภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และสภาพคล่องที่สูงทั่วโลก ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง การที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยได้ปรับตัวลดลงมา ทำให้ค่า P/E กลับมาอยู่ในระดับที่ไม่แพง ประกอบกับผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่ได้ประกาศออกมานั้นดีกว่าที่คาดไว้ กลุ่มธนาคารน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย

        

               

Back to top button