SCBAM ออกทริกเกอร์ฟันด์ ตั้งเป้า 4% ใน 1 ปี
SCBAM ออกทริกเกอร์ฟันด์ ตั้งเป้า 4% ใน 1 ปี
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ 1 กองทุน โดยลงทุนในธุรกิจธีม New Normal และสินทรัพย์ที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลาง ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Dynamic (SCB Dynamic Fund) (SCBDM) มูลค่าจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท เสนอขายเพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 14-20 กรกฎาคม 2563 และผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนได้ภายใน 1 ปีนับแต่วันจดทะเบียนกองทุน โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
สำหรับกองทุนนี้เป็นกองทุนผสม มีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝาก และหน่วยลงทุนของกองทุน โดยเบื้องต้นกองทุนได้แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ประมาณ 30% ลงทุนเบื้องต้นในกองทุนหุ้น กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตหลังจากการฟื้นตัวจากโรคโควิด-19 เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวในการใช้ชีวิตแบบ New Normal ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเฮลธ์แคร์ กลุ่มหุ้นขนาดเล็กถึงกลาง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้จ่ายของผู้บริโภค อาทิ Amazon, Nike, Starbucks เป็นต้น
ส่วนที่ 2 ประมาณ 70% ลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต เพื่อบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ ได้แก่ ตราสารหนี้ระยะสั้น ตราสารหนี้ในประเทศ และตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยกองทุนสามารถพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ 0-100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุนและตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ กองทุนจะมีการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ กองทุนมีเป้าหมายทริกเกอร์ 4% จากการลงทุนภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันจดทะเบียนกองทุน โดยกำหนดทริกเกอร์ ณ วันทำการใดก็ตามที่บลจ. สามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า 10.4839 บาทต่อหน่วย หากไม่เกิดเหตุการณ์ทริกเกอร์ บลจ.จะเปิดให้ผู้ถือหน่วยสามารถขายคืนได้ทุกวันทำการ หากทรัพย์สินของกองทุนถึงเกณฑ์ที่กำหนดตามข้างต้น โดยกองทุนจะรับซื้อคืนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์
“สาเหตุที่เลือกลงทุนในธีม New Normal มองว่าการหันมาใช้เทคโนโลยี และ online service มากขึ้นในช่วง lock down จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะคนรุ่น Gen Z และ Millennials เป็นโอกาสให้ธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนาคิดค้นยารักษาโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มธุรกิจใหม่ด้าน e-health เพื่อให้บริการรักษาจากระยะไกลถือเป็นอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง
อีกทั้งหลังจากที่ในหลายๆ ประเทศได้คลาย lock down ทำให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้กลุ่มหุ้นขนาดเล็กถึงกลางที่อาศัยแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจในธีม New Normal นี้เติบโตสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ การกระจายสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นนั้น จะเป็นตัวช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้”นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว