บลจ.วี ออกกองทุน “WE-CHIG” เน้นลงทุนหุ้นจีน
บลจ.วี ออกกองทุน “WE-CHIG” เน้นลงทุนหุ้นจีน
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วี เปิดเผยว่า บลจ.วี ออกกองทุนเปิด วี ไชน่า โกรท (WE CHINA GROWTH FUND : WE-CHIG) เสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 31 ก.ค. -11 ส.ค.63 เพื่อลงทุนในหุ้นจีน เน้นคัดเลือกหุ้น Innovative คุณภาพดี โดยทีมคัดเลือกหุ้นของ Matthews Asia ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้แนวโน้มเติบโตของหุ้นขนาดเล็กน่าสนใจ จากการเติบโตของภาคบริโภคในประเทศ และมาตรการภาครัฐ ช่วยหนุนบริษัทขนาดเล็กเติบโตสูง
สำหรับกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัวโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและใกล้ชิดกับตลาดหุ้นจีนโดยตรง ผ่านกองทุน Matthews Asia-China Small Companies Fund ซึ่งบริหารโดย Matthews International Capital Management, LLC ที่มีความแข็งแกร่งของทีมวิเคราะห์หุ้นของตนเองโดยตรง และมีประสบการณ์กว่า 25 ปี
ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนในบริษัท Disruptors ที่มีนวัตกรรมและการเติบโตจากความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งบริษัทดังกล่าวมักเป็นหุ้นจดทะเบียนขนาดเล็ก โดยกองทุนเน้นคัดเลือกหุ้นบริษัทจดทะเบียน 40-60 ตัว ที่มีธุรกิจโดดเด่น มีการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) มากกว่า 10% การเติบโต Return on Invested Capital (ROIC) มากกว่า 10% และมีความแข็งแกร่งของเงินทุน โดย D/E ratio ต่ำ กว่า 0.5%
สำหรับกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นดังกล่าว นอกจากจะมีแนวโน้มการเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจจีนแบบใหม่ที่สามารถสร้างรายได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจรวมทั้งมีความได้เปรียบในการแข่งขันแล้ว ยังมีความต้านทานความผันผวนของตลาดได้ดี สะท้อนจากผลการดำเนินงานกองทุนในช่วงที่ตลาดได้รับผลกระทบ เช่น ในปี 58 หรือในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส เป็นต้น
โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 63 กองทุนหลักให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนที่ 12.72% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 37.99% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 71.81% ย้อนหลัง 3 อยู่ที่ 27.07% ย้อนหลัง 5 ปี 17.27% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 14.90% เทียบกับดัชนี MSCI China Small Cap Index อยู่ที่ 11.13% , 13.18% , -1.75%, -2.99%, -1.15%, -4.44% และ 2.25% ตามลำดับ
“บลจ.วี มองว่า ศักยภาพในการเติบโตที่สูงขึ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กในจีน มีความน่าสนใจจากความสามารถในการสร้างโอกาสรับตอบแทนได้สูง ทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง อีกทั้งระดับราคา (Valuation) ที่ยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากยังไม่เป็นที่รู้จักมากและมีความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นจีนโดยรวม การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของจีนผ่าน “กองทุน WE-CHIG” จึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากอุตสาหกรรมเทคโนลียี , สุขภาพ , การบริการและอุปโภคบริโภค ที่สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจจีนที่กำลังกลับมาเติบโตจากมาตรการภาครัฐและการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ”นายอิศรา กล่าว
ทั้งนี้หลังจากการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และใช้มาตรการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ ปัจจุบันเริ่มมีการเปิดให้กลับมาดำเนินกิจกรรมได้แล้ว โดยเฉพาะประเทศจีนที่กลับมาดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจเป็นประเทศแรก และเริ่มเห็นการพลิกฟื้นของภาคธุรกิจที่สำคัญ เช่น ค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิต รวมไปถึงการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ผ่านนโยบายการเงิน ทั้งปรับลดอัตราการกันเงินสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio : RRR) การให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลดีต่อภาคการผลิต การบริการและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางแก่สถาบัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ช่วยให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนทางการเงินลดลงจากเม็ดเงินที่เข้าสู่ระบบสินเชื่อมากขึ้น
ด้านนโยบายการคลัง มีการอัดฉีดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอีก 2.5 -2.8 ล้านล้านหยวน , การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยการออกพันธบัตรพิเศษและพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ยังคิดเป็นเพียง 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนประมาน 13% ของจีดีพี ดังนั้นจีนยังสามารถในการใช้เครื่องมือกระตุ้น เศรษฐกิจได้อีกในอนาคต
ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนปัจจุบันเกิดจากอุตสาหกรรมภาคบริการและการบริโภค อาทิเช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, การเงิน, ค้าส่งและค้าปลีก, การขนส่ง, การแพทย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ของจีน และมีสัดส่วนการเติบโตต่อ จีดีพี ที่สูง นอกจากนี้ ในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน กลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็กเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน โดย 60% ของจีดีพีจีนมาจากกลุ่มบริษัทขนาดเล็ก รวมถึงในแง่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การจดสิทธิบัตร และการจ้างงานในเขตเมืองส่วนใหญ่มาจากกลุ่มบริษัทดังกล่าว ทำให้รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาสนับสนุนธุรกิจในกลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในแง่ Valuation หุ้นจีนในกลุ่มดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเปรียบเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรจากปัจจัยพื้นฐานการเติบโตจากภาคการบริโภคในประเทศจีนเป็นหลักในภาวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส