TBANK คาดสินเชื่อ H1/58 ดีกว่า H2/58พร้อมคุม NPL ในปีนี้ให้อยู่ในระดับที่ 3%
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต (TBANK) ในกลุ่มบมจ.ทุนธนชาต (TCAP) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดสินเชื่อครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่ติดลบ จากความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยให้การขยายตัวของสินเชื่อกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/58 แต่ภาพรวมทั้งปีเชื่อว่าสินเชื่อรวมของธนาคารจะไม่ขยายตัวในปีนี้ (0%) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการเติบโตสินเชื่อของธนาคารในครึ่งปีแรก
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต (TBANK) ในกลุ่มบมจ.ทุนธนชาต (TCAP) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดสินเชื่อครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่ติดลบ จากความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยให้การขยายตัวของสินเชื่อกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/58 แต่ภาพรวมทั้งปีเชื่อว่าสินเชื่อรวมของธนาคารจะไม่ขยายตัวในปีนี้ (0%) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการเติบโตสินเชื่อของธนาคารในครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าการที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาและจะมีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง และสามารถสร้างความเชื่อมั่นของธุรกิจให้กลับมา ทำให้ภาคธุรกิจมีการลงทุนมากขึ้น และจะส่งผลดีต่อสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ให้ขยายตัวขึ้น และเมื่อลูกค้าของธนาคารมีความมั่นใจกลับมาแล้วก็จะเบิกวงเงินสินเชื่อไปใช้ในการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันลูกค้าของธนาคารยังชะลอการใช้สินเชื่อในช่วงนี้ เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจมากนัก
ทั้งนี้ มองว่าในช่วงไตรมาส 4/58 การขยายตัวของสินเชื่อจะสามารถกลับมาเป็นบวกได้ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ผล แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังกดดันการขยายตัวของสินเชื่อรวมของธนาคาร คือ ภาวะตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัว ส่งผลให้สินเชื่อรถยนต์ของธนาคารหดตัว โดยในครึ่งปีแรกสินเชื่อรถยนต์ของธนาคารติดลบ 4-5% ซึ่งพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ของธนาคารมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตามธนาคารได้กระจายสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อไปที่ธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง
ด้านสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในปีนี้จะคุมให้อยู่ในระดับที่ 3% โดยแนวโน้ม NPL ในครึ่งปีหลังจะปรับลดลงจากครึ่งปีแรกที่ NPL อยู่ที่ 3.6% เป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้า และการตัดจำหน่ายหนี้สงสัยจะสูญ ทั้งนี้ กระบวนการลด NPL ของธนาคารนั้นส่งผลให้การตั้งสำรองในครึ่งปีหลังลดลงด้วย ซึ่งการตั้งสำรองปกติจะลดลงจากครึ่งปีแรกที่ตั้งสำรองอยู่ที่กว่า 3 พันล้านบาท