“กลุ่มเกียรตินาคินฯ” ชูกองทุน “KKP SGAA” 8 เดือนแรกผลตอบแทน 10.22%
“กลุ่มเกียรตินาคินฯ” เผยความสำเร็จกองทุน “ KKP SGAA" นับจากต้นปีถึงเดือนส.ค. 64 ให้ผลตอบแทน 10.22% และถือเป็นกองทุน “เรือธง” ในการรองรับสถานการณ์ความผันผวนของโลกมาอย่างต่อเนื่อง 10 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว
นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) บล.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างต้องการเข้าถึงโอกาสลงทุนในทรัพย์สินหลากหลายประเภท ทั้งในประเทศและภูมิภาคอื่นๆ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและผันผวน มีผลต่อแนวโน้มและผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของสินทรัพย์ประเภทหุ้นต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ทั้งแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนประเภทต่างๆ โดยเฉพาะตราสารหนี้ หรือการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลจีนกำลังส่งผลกระทบที่สำคัญต่อการลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ ทั่วโลก เป็นต้น
สำหรับปัจจัยความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนต้องใช้เวลาติดตามสภาวะทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อทรัพย์สินแต่ละประเภทอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา มิฉะนั้นอาจได้รับผลกระทบที่เฉียบพลันและรุนแรง โดยกองทุน KKP SGAA ช่วยลดภาระในส่วนนี้ให้กับนักลงทุนได้อย่างมาก เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญปรับสัดส่วนการลงทุนของทรัพย์สินในพอร์ตตามสภาวะตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งช่วยเปิดโอกาสรับผลตอบแทนและลดความผันผวนของพอร์ต เห็นได้จากสัดส่วนสินทรัพย์ของกองทุน KKP SGAA ที่ปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมาล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ
ด้านนายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า KKP SGAA เป็นกองทุนที่ใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนอย่างครอบคลุมในหลายประเภททรัพย์สินทั่วโลก เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และ ตราสารทางเลือก รวมไปถึง กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งในหรือต่างประเทศ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นกองทุนกองเดียวที่นักลงทุนต้องการสำหรับเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากทุกประเภทสินทรัพย์ทั่วโลก
อย่างไรก็ตามยิ่งกว่านั้น KKP SGAA ยังเป็นกองทุน เรือธง (Flagship) ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ที่รวบรวมทรัพยากรและความรู้ความชำนาญจากทั้งกลุ่มธุรกิจ โดย บล.เกียรตินาคินภัทร ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนของกองทุน ทำหน้าที่วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคและกำหนดสัดส่วนระหว่างสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ในขณะที่ บลจ.เกียรตินาคินภัทร ในฐานะผู้จัดการกองทุน ทำหน้าที่วิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพและตอบโจทย์กลยุทธ์การลงทุน
ทั้งนี้กองทุนยังมีผลการดำเนินงานต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ซึ่งสามารถนำประสบการณ์มาพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ให้แข็งแกร่งทั้งในด้านการเติบโตและเป้าหมายการลดความผันผวน และเรียกได้ว่ากองทุน KKP SGAA เป็นการลงทุนที่สะดวก ลดภาระของนักลงทุนในติดตามสถานการณ์ลงทุน และความยืดหยุ่นต่อทุกสภาวะการลงทุน
นอกจากนี้กองทุน KKP SGAA ยังมาพร้อมกับตัวเลือกกองทุนในลักษณะเดียวกันแต่ต่างระดับความเสี่ยงอีกถึง 3 กอง คือ KKP SGAA Extra, KKP SGAA Light และ KKP SGAA Ultra Light เพื่อให้นักลงทุนเลือกลงทุนในกองที่มีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด เช่น นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากและคาดหวังผลตอบแทนสูง สามารถเลือกลงทุนใน KKP SGAA Extra ซึ่งลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่นักลงทุนวัยใกล้เกษียณ สามารถเลือกลง KKP SGAA Light ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่เสี่ยงน้อยกว่า โดยในโอกาสครบรอบ 10 ปี บลจ.เกียรตินาคินภัทรได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) ของกองทุน KKP SGAA ทั้ง 4 กอง ในระหว่างวันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2564 เพื่อให้นักลงทุนได้เปิดโอกาสรับผลตอบแทนและร่วมฉลองความสำเร็จของกองทุนที่มีมาอย่างยาวนาน
ขณะเดียวกันนายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล(Wealth Management) บล.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า กองทุน KKP SGAA ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์การเงินหลักที่กลุ่มผู้มาใช้บริการ Wealth Management ของ บล.เกียรตินาคินภัทรให้ความสนใจมาโดยตลอด ด้วยความหลากหลายของสินทรัพย์ไม่ว่าในหรือต่างประเทศ ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเปิดโอกาสรับผลตอบแทนได้อย่างครอบคลุม และการปรับกลยุทธ์อย่างไม่หยุดนิ่งโดยไม่เป็นภาระในการติดตามสำหรับลูกค้าซึ่งมักมีภารกิจรัดตัว
โดยกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 ที่ 10.22% ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้ว KKP SGAA เรียกได้ว่าเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว และการใช้เป็นพอร์ตหลัก (Core Port) เพราะในหลายแง่มุมเทียบได้กับการรับบริการที่ปรึกษาการลงทุนแบบ Wealth Management โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท