SCBAM ดีเดย์ขายกองทุน “SCBDSHARC1YE” 1-13 ธ.ค.นี้

SCBAM เสนอขายกองทุน “SCBDSHARC1YE” ตั้งแต่วันนี้ – 13 ธ.ค.65 เงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผลตอบแทนสัญญาออปชั่นสูงสุด 5% และมีโอกาสรับผลตอบแทนชดเชย 0.25%


นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก จากการเสนอขายกองทุน SCBDSHARC1YC เมื่อต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนให้กับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนในภาวะตลาดช่วงนี้ ด้วยจุดเด่นของกองทุน ที่ผู้ลงทุนสามารถมีโอกาสการรับผลตอบแทน/ดอกเบี้ยได้จากการการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากที่มีคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ จึงมีโอกาสช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้น และมีโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการลงทุนในสัญญาออปชั่นที่จ่ายผลตอบแทนโดยอ้างอิงไปกับดัชนี SET50

โดยหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงช่วงระหว่างอายุสัญญาออปชั่นปรับเพิ่มขึ้น หรือลดลงไม่เกิน 10% (เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา) ก็จะมีโอกาสรับผลตอบแทนจากสัญญาออปชั่นสูงสุดที่ 5%  หรือหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงมีการปรับเพิ่มขึ้น หรือลดลงในระดับที่มากกว่า 10% ก็ยังมีโอกาสรับผลตอบแทนชดเชยที่ 0.25% และเป็นกองทุนที่มีอายุเพียง 1 ปี จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องได้

อีกทั้งตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับตลาดหุ้นโลก และเพื่อตอบรับกับความต้องการของนักลงทุน SCBAM จึงได้นำเสนอกองทุนในประเภทนี้เพิ่มเติม คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1YE (SCBDSHARC1YE) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย โดยจะเสนอขายระหว่างวันที่ 1 – 13 ธันวาคม 2565 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท

ขณะเดียวกัน แม้ว่าปีนี้ ไทยจะได้รับความกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากประเทศหลักอย่าง สหรัฐ ยุโรป และจีน รวมถึงเงินเฟ้อระดับสูงที่กระทบต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือนและต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจ แต่ในช่วงไตรมาส 3/65 ที่ผ่านมา GDP ของไทย ยังมีการขยายตัวถึง 4.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 ให้ได้รับแรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยว การอุปโภคบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชน จึงส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 65 เศรษฐกิจไทยเติบโต 3.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และยังมีสัญญาณการฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/65 จาก Pent-up Demand ของการเดินทาง, การผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลก และ High season ทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัว ซึ่งแตกต่างจากสหรัฐฯหรือยุโรปที่เศรษฐกิจฟื้นตัวมาก่อนแล้ว และมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทั้งนี้ ในปี 66 ตลาดการเงินจะยังมีความผันผวนต่อเนื่องอีกระยะ โดยความเสี่ยงภาวะถดถอยของเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด จากความกังวลต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากเกินไป รวมถึงความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังคงตึงเครียด ด้านในประเทศเอง ภาวะหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงอาจกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดียังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 66 สอดคล้องกับ IMF ที่คาดการณ์ภาพรวมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอาเซียนยังเห็นภาพสดใส และคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะเติบโตอยู่ที่ 4.9% และสำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยของปี 66 คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในปีนี้ เป็น 3.7% ที่หนุนด้วยการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว จึงเป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุนในช่วงสิ้นปีนี้ เพื่อเตรียมรับโอกาสการเติบโตไปพร้อมกับตลาดหุ้นไทยปี 66

นอกจากนี้ IMF มองว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะเติบโตประมาณ 2.7% และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ยุโรป และลาตินอเมริกา จะเติบโตประมาณ 1%, 0.5% และ 1.7% ตามลำดับ

ส่วนของกองทุน SCBDSHARC1YE เป็นกองทุน Complex Fund ที่มีการลงทุนในผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนซึ่งมีปัจจัยอ้างอิง มีความแตกต่างจากการลงทุนหรือใช้บริการผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนทั่วไป และยังคงมีความเสี่ยงผิดชำระหนี้ (default risk) ที่อาจเกิดขึ้นจากการผิดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร/เงินฝากที่อาจส่งผลให้ผู้ลงทุนไม่ได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนได้ โดยผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงเวลา 1 ปี  ซึ่งผลการดำเนินงานในอดีต มิได้ยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก่อนตัดสินใจลงทุน และมีความจำเป็นในการขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนทำการลงทุน

Back to top button