บล.ภัทร จับกลุ่มคนรุ่นใหม่รายได้สูงตั้งเป้าสินทรัพย์ทะลุแสนล้านใน 3 ปี

บล.ภัทร ดูแลเรื่องการลงทุนให้คนรุ่นใหม่รายได้สูง ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 30 ล้านบาท ตั้งเป้าสินทรัพย์ทะลุแสนล้านใน 3 ปี


นางกุลนันท์ ซานไทโว กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าสายงานลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หนึ่งในธุรกิจหลักของ บล.ภัทร คือ ธุรกิจ wealth management หรือการดูแลเรื่องการลงทุนให้กับกลุ่ม High Net Worth ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งถือว่าภัทรเป็นผู้ให้บริการอันดับต้นๆ ของประเทศ มีประสบการณ์มากว่า 15 ปี ซึ่งพบว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงหรือเรียกว่า Mass Afuent ที่มีเงินลงทุนตั้งแต่ 2-30 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยครอบครองสินทรัพย์กว่า 50% ของโลก ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ อีกทั้งคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ได้ให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคลมากขึ้น จึงได้พัฒนาบริการใหม่ที่เรียกว่า “Phatra Edge” หรือที่ปรึกษาวางแผนการลงทุนส่วนบุคคลให้กับกลุ่ม Mass Afuent ภายใต้สโลแกนที่ว่า Phatra Edge ตัวช่วยทุกเรื่องการลงทุน

ประกอบไปด้วย “เครื่องมือ” และ “คำแนะนำ” เป็นผลรวมที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนของ บล.ภัทร กับความแข็งแกร่งของธนาคารเกียรตินาคินในเรื่องช่องทางดูแลลูกค้ารายใหญ่ ปัจจุบัน บล.ภัทร มีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำรวมมูลค่า 310,000 ล้านบาท และมีฐานลูกค้ากลุ่ม Mass Afuent อยู่ราว 6,000 ราย และมีเป้าหมายจะขยายจำนวนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารให้เติบโต 1 เท่าตัว ในอีก 3 ปีข้างหน้า

สำหรับ Phatra Edge จะช่วยให้ลูกค้าไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้เร็วและง่ายขึ้น โดยชูจุดเด่นสำคัญ 3 ด้าน คือหนึ่งเป็นตัวช่วยจัดระบบการลงทุนแบบส่วนตัว ถัดไปคือ เป็นตัวช่วยด้านการลงทุนที่ให้ความสะดวกสบาย ครบถ้วน ทุกที่ทุกเวลา ผ่านระบบออนไลน์ และ Mobile Application รวมทั้งบริการ One Report และสุดท้าย คือ คำแนะนำที่เป็นกลางจากผู้เชี่ยวชาญ ด้วยบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์คุณภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและได้รับรางวัลต่อเนื่องทุกปี และด้วย Platform ที่เป็นแบบ Open Architecture จึงมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ลูกค้าเลือกลงทุนหลากหลายชนิดทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์และกองทุนรวม รวมถึงกองทุนรวมให้เลือกได้หลากหลายจาก 20 บลจ.ชั้นนำ

“กลุ่ม Mass Afuent มีความต้องการบริหารเงินลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน คนที่มีเงินเดือนและฐานภาษีในอัตรา 20% ขึ้นไป คนที่ลงทุนในกองทุนรวม LTF/RMF คนเหล่านี้ต้องการ “ตัวช่วย” ในการให้คำปรึกษาในลักษณะที่เป็น Solution เราจึงพัฒนาระบบและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นตัวช่วยทางด้านการเงินให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วและง่ายขึ้น” นางกุลนันท์ กล่าว

ทั้งนี้ในการให้บริการดังกล่าว บริษัทคาดหวังจะมีการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจากปัจจุบันที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ให้เป็น 8 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยการเติบโตจะมาจากการเจาะฐานลูกค้าของสถาบันการเงินในเครือข่ายอย่างธนาคารเกียรตินาคิน ที่มีฐานลูกค้าสามารถลงทุนในกลุ่มดังกล่าวได้ประมาณหลักหมื่นราย ซึ่งจะทยอยเข้ามาในอนาคต

Back to top button