KTAM ออกกองตราสารหนี้ตปท. KTFF116อายุ 3 เดือน ชูดบ. 1.45% ขาย 5-11 ต.ค.นี้

KTAM ออกกองตราสารหนี้ตปท. KTFF116 อายุโครงการ 3 เดือน ชูผลตอบแทน 1.45% ต่อปี เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China (Macau),PT BANK RAKYAT INDONESIA (PERSERO) Tbk ,China Construction Bank, Ahli Bank QSC และ First Gulf Bank PJSC เสนอขาย 5-11 ต.ค.นี้


นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด หรือ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 116 (KTFF116) อายุ 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 5-11 ต.ค.59 อายุ 3 เดือน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China (Macau),PT BANK RAKYAT INDONESIA (PERSERO) Tbk ,China Construction Bank, Ahli Bank QSC และ First Gulf Bank PJSC ผลตอบแทนประมาณ 1.45% ต่อปี

โดยอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ โดยรวมปรับตัวลดลงตามเงินลงทุนที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังไม่มีตารางเวลาที่แน่นอนในการปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินถึงแม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเป็นยอดซื้อสุทธิจำนวน 29,817 ล้านบาท สำหรับปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามจะเป็นปริมาณการออกพันธบัตรในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 2560 ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ

ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้น ตราสารระยะสั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่ตราสารระยะกลางถึงยาวปรับตัวลดลงตามแรงซื้อจากกระแส Risk-off จากความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของธนาคารดอยซ์แบงก์ และธนาคารเวลฟาโก ถึงแม้ว่า GDP ไตรมาส 2/59 ของสหรัฐอเมริกาจะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม

โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวลดลง 1 bps.มาอยู่ที่ 0.76% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวลดลง 1 bps.มาอยู่ที่ 1.15% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวลดลง 3 bps.มาอยู่ที่ 1.59% ต่อปี

สำหรับปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามจะเป็นปริมาณการออกพันธบัตรในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 2560 ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ ส่วนต่างประเทศ ปัจจัยที่ต้องติดตามจะเป็นความคืบหน้าของธนาคารดอยซ์แบงก์ แนวโน้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลก แนวโน้มราคาน้ำมัน ผลกระทบของ Brexit ต่อสหภาพยุโรป (EU) และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ

 

Back to top button