บลจ.กรุงไทย ออกกองตราสารหนี้ตปท.อายุ 1 ปี ชูผลตอบแทน 1.7% ต่อปี ขายวันนี้-6 ธ.ค.59

1 ธ.ค. 2559

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด หรือ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้เอฟเอเอฟ 101 ( KTFF101) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 6 ธันวาคม 2559 อายุ 1 ปี เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Emiratcs NBD PJSC ผลตอบแทนประมาณ 2% ต่อปี , Commercial Bank of Qatar Q.S.C. , Abu Dhabi Commercial Bank 1.95%ต่อปี , Ahi bank QSC. 2.05% ต่อปี และ First Gulf Bank PJSC 1.90% ต่อปี ในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีค่าใช้จ่ายประมาณ 0.27% ต่อปี ดังนั้น ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.70% ต่อปี ซึ่งกองทุนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

ส่วนแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกช่วงอายุ ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศเริ่มชะลอลง มียอดขายสุทธิจำนวน 217 ล้านบาท โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 2 ปี อยู่ที่ 1.63% ต่อปี อายุ 5 ปี อยู่ที่ 2% และอายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.62% ไม่เปลี่ยนแปลง

ด้านอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุ ตามความกังวลต่อนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ที่จะทำให้เงินเฟ้อและหนี้สาธารณะปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐ อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.12% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.83% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.36% ต่อปี

ขณะที่ราคาทองคำ ยังคงอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลล่าร์ เข้าใกล้แนวรับสำคัญแถว ๆ 1,160 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ระยะสั้นยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอยู่ เพราะฉะนั้น นักลงทุนระยะยาวสามารถพิจารณาถึงจังหวะสะสมเพิ่มได้ ราคาน้ำมันดิบยังแกว่งตัวผันผวนหลังรีบาวด์ขึ้นมาค่อนข้างแรง คาดว่าอาจยังอยู่ในกรอบเดิม คือ 40-50 เหรียญสหรับ/บาร์เรล ผลของการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในกรุงเวียนนา น่าจะเป็นตัวตัดสินในทิศทางของราคาน้ำมันดิบ

โดยที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้งสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมาก และทำให้มีกระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ไหลกลับเข้าไปในตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯมากขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะยังมีผลไประยะหนึ่ง แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรในค่าเงินดอลลาร์อยู่บ้าง