บลจ.กสิกรไทย ขาย K-SEMQ 14-20 มี.ค.นี้
บลจ.กสิกรไทย ขายกอง K-SEMQ วันที่ 14-20 มี.ค.นี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 14 – 20 มีนาคม 2560 บลจ.กสิกรไทย จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ซีเล็คทีฟ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ หุ้นทุน (K-SEMQ) โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Templeton Emerging Markets Fund, Class I (acc) USD ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
รวมถึงอาจลงทุนในหุ้นในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ทั้งนี้กองทุนหลักได้รับการบริหารจัดการโดย Franklin Templeton Investments บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก นำทีมบริหารโดย มาร์ค โมเบียส ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า ซึ่งมีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ยาวนานกว่า 40 ปี สำหรับกองทุนหลักของ K-SEMQ จะลงทุนในหุ้นหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมของประเทศตลาดเกิดใหม่ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน แอฟริกาใต้ อินเดีย บราซิล รัสเซีย ฯลฯ
โดยปัจจุบันจะให้น้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีและการบริโภคภายในประเทศซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศตลาดเกิดใหม่ อาทิ หุ้นไอที สินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งนี้กองทุนหลักจะใช้กระบวนการลงทุนแบบ Bottom-up ที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock) โดยพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง และเน้นการถือครองหุ้นในระยะยาวเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของหุ้นตลาดเกิดใหม่ ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 36.43% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 29.46% (ข้อมูลจาก Morningstar® ณ 28 ก.พ. 2560)
ด้านมุมมองการลงทุนในปี 2560 นี้ บลจ.กสิกรไทยมองว่า หุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง โดยปัจจัยหนุนมาจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยมุมมองในอีก 5 ปีข้างหน้า ส่วน IMF คาดการณ์ว่าในปี 2560 นี้ เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะเติบโตอยู่ที่ 4.0% ซึ่งสัดส่วนหลักจะมาจากการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย
ขณะที่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะเติบโตเพียง 1.9% ประกอบกับความน่าสนใจของตลาดเกิดใหม่ยังมาจากประชากรที่มีจำนวนมาก โดยเฉพาะวัยทำงานและประชากรเมืองที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีการบริโภคสูงและมีการเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมด้านไอทีที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้ ราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ปัจจุบันยังซื้อขายอยู่ในระดับราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว” นายนาวินกล่าว
สำหรับความกังวลของนักลงทุนต่อทิศทางเงินลงทุนที่อาจไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯ ภายหลังผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จะมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ ซึ่งหาก FED มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง มองว่าน่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากตลาดได้รับรู้ทิศการการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ไปมากแล้ว และคาดว่าตลาดจะมีความผันผวนเพียงในระยะสั้น อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงและสามารถลงทุนได้ในระยะยาว มองว่าจะเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของหุ้นในตลาดเกิดใหม่ได้