บลจ.กสิกรไทยทุ่มงบกว่า 800 ล้านบาทเตรียมจ่ายปันผลกองทุน FIF อีก 4 กอง
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า การจ่ายปันผลกองทุนรวมของบริษัท ตั้งแต่ช่วงต้นปีถึง ณ เดือนมิถุนายน 2558 ว่าบริษัทมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้วรวม 26 กองทุน รวมเป็นมูลค่าเม็ดเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าบริษัทมีการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า การจ่ายปันผลกองทุนรวมของบริษัท ตั้งแต่ช่วงต้นปีถึง ณ เดือนมิถุนายน 2558 ว่าบริษัทมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้วรวม 26 กองทุน รวมเป็นมูลค่าเม็ดเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าบริษัทมีการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ล่าสุดบริษัทได้เตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศอีกจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 – 31 พฤษภาคม 2558, กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย
สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 – 31 พฤษภาคม 2558, กองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 – 31 พฤษภาคม 2558 และกองทุนเปิดเค โกลบอล อิควิตี้ (K-GLOBE) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย
สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 – 31 พฤษภาคม 2558 โดยทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 2 มิถุนายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 12 มิถุนายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 804.43 ล้านบาท
นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวถึงมุมมองการลงทุนในต่างประเทศว่า เศรษฐกิจโลกในภาพรวมยังมีปัจจัยกดดันเรื่องการชะลอตัว เนื่องจากประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่นและจีน ยังมีการฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ IMF ได้ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2558 ที่ 3.5% และในปี 2559 ที่ 3.8% นอกจากนี้มองว่าตลอดทั้งปีนี้ ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จะยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาหนี้ของกรีซ ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ความผันผวนของราคาน้ำมัน รวมถึงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังมีอยู่สูงจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจากหลายประเทศ จะยังส่งผลดีต่อตลาดการเงินและตลาดทุนทั่วโลกด้วยเช่นเดียวกัน
สำหรับกองทุน K-GA และ K-GLOBE เป็นกองทุนที่กระจายการลงทุนทั่วโลก โดยมีข้อแตกต่างคือ K-GLOBE จะเน้นการลงทุนในหุ้น ในขณะที่กองทุน K-GA จะกระจายลงทุนในแง่ของตราสารด้วย กล่าวคือ K-GA จะลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ โดยกองทุนแม่ (Master Fund) จะปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนั้น จึงช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว
ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นจีน ทั้งดัชนี A-Share และ H-Share ต่างปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังทางการจีนได้ประกาศผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านหลักทรัพย์ โดยอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในจีนสามารถเข้าซื้อหุ้น H-Share ผ่านโครงการเชื่อมโยงตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้-ฮ่องกง โดยไม่ต้องขอโควตา
ทั้งนี้การที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะ จึงมีความเสี่ยงที่อาจจะปรับฐานลงได้ในระยะสั้น ผู้ลงทุนจึงอาจอาศัยจังหวะช่วงที่หุ้นปรับตัวลงเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ โดยมองว่าในระยะยาว หุ้นจีนยังมีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตที่ดี จากการที่รัฐบาลจีนมีแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะเน้นพัฒนาด้านตลาดทุน ประกอบกับการอนุมัติให้ภาคเอกชนและต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคได้ รวมถึงแนวทางการบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้หันมาพึ่งพาการบริโภคมากขึ้น
ทั้งนี้ กองทุน K-CHINA ของบลจ.กสิกรไทย จะมีการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลจีนที่เน้นการเติบโตจากการบริโภคในประเทศ อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค ประกัน เป็นต้น ประกอบกับ กองทุนมีการให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น A-share และ B-share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดเสินเจิ้นและเซี่ยงไฮ้) ในสัดส่วนที่สูงประมาณ 15% จึงทำให้กองทุนมีความน่าสนใจและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในต่างประเทศ