KSAM ปลื้มกอง FIF กวาดยอดเงินลงทุนสูงสุดในอุตสาหกรรมช่วง 7 เดือนแรกปีนี้
บลจ.กรุงศรี ปลื้มกองทุน FIF ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ( AUM) เพิ่มสูงกว่า 151% จากสิ้นปี 2557 และยอดเงินลงทุนใหม่สูงเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม (ที่มา : Morningstar ณ วันที่ 31 ก.ค. 58) ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการคัดสรรกองทุนหลักที่หลากหลายนโยบายการลงทุนและมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ(FIF) ภายใต้การบริการจัดการของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ของกองทุนต่างประเทศภายใต้การบริหารจัดการ มูลค่ากว่า 30,484 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 151% จากสิ้นปี 2557 ที่อยู่ระดับ 12,142 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดเงินลงทุนเพิ่มสุทธิในกลุ่มกองทุน FIF สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรม มูลค่ารวมกว่า 13,562 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 24% ของอุตสาหกรรม (ที่มา : Morningstar ณ วันที่ 31 ก.ค. 58)
สำหรับกองทุน FIF ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษและติดอันดับกองทุนที่มียอดเงินลงทุนสุทธิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลอินคัม (KF-INCOME) ที่มียอดเงินลงทุนเพิ่มสุทธิกว่า 7,074 ล้านบาท โดยจุดเด่นของกองทุน KF-INCOME คือ ลงทุนในกองทุนหลักที่เข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก และมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทให้เหมาะสมกับสภาวการณ์และสภาพเศรษฐกิจภายใต้การบริหารจัดการเป็นอย่างดีจากทีมผู้จัดการกองทุน ถือป็นการลดความเสี่ยงและช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับกระแสเงินสดแบบประจำ โดยกองทุน KF-INCOME ได้จัดตั้งในเดือน ธันวาคม 2557 และมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 8 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 กองทุนมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4.58 % ต่อปี (ข้อมูล : บลจ. กรุงศรี 20 ส.ค. 58 )
นอกจากนี้ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ปันผล(KF-HEALTHD) ถือเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีความโดดเด่นและได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดเงินลงทุนเพิ่มสุทธิกว่า 4,988 ล้านบาท (ที่มา : Morningstar ณ วันที่ 31 ก.ค. 58) ทั้งนี้ การลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์จะช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกนับวันจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นและมีอายุขัยยาวนานขึ้น โดยประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้น 3 เท่าในทุกๆ 50 ปี และอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรรวม มีการคาดว่าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มเป็น 73.7 ในปี 2017 จึงมีการใช้จ่ายด้านสุขภาพมากขึ้นถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจเฮลธ์แคร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก (ที่มา :Deloitte Touche Tohmatsu Limited (DTTL) Global Life Sciences and Health Care Industry Group analysis of United Nations data statistics, 2014)