บลจ. กสิกรไทยทุ่มกว่า 9 ล้านบาทจ่ายเงินปันผลกองทุน K-USXNDQ

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 - 31 สิงหาคม 2558 โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 กันยายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 9.77 ล้านบาท


นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 – 31 สิงหาคม 2558 โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 กันยายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 9.77 ล้านบาท

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวได้ดี ทั้งภาคธุรกิจ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน การใช้จ่ายภาครัฐและภาคแรงงาน โดยตัวเลข GDP ในไตรมาส 2/2558 ขยายตัว 3.7% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2558 ส่วนใหญ่ออกมาดี โดยกว่า 74% ของบริษัท มีผลประกอบการออกมาดีกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่กว่า 50% ของบริษัท มียอดขายดีกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ส.ค. 58) โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มไอที สินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มสุขภาพ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันในดัชนี Nasdaq สูงถึงกว่า 90% ต่างมีผลประกอบการออกมาค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นปี 2558 – 1 กันยายน 2558 ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงเพียง 2% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในภาพรวมติดลบ 7% ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้มีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงชะลอตัวลง จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาถดถอย ประกอบกับการปรับลดค่าเงินหยวนที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายของตลาด ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างในตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้นักลงทุนต่างมองว่าภาวะความปั่นป่วนของตลาดทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา มีผลสำคัญต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางและจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จะมีการประชุมในกลางเดือนกันยายนนี้ โดยนักวิเคราะห์ต่างปรับลดโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในครั้งนี้ลง

อย่างไรก็ดี แม้ว่ามูลค่าหุ้นสหรัฐฯ จะมีการปรับฐานลงมาประมาณ 10% จากจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ระดับราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังซื้อขายอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (Forward P/E) ปัจจุบันอยู่ที่ 16.47 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีที่ 14.94 เท่า นักลงทุนจึงอาจต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มเติม เนื่องจากมองว่าความน่าสนใจในการเข้าลงทุนมีค่อนข้างจำกัด รวมถึงในภาวะที่ยังคงมีความไม่แน่ชัดเกี่ยวกับกรณีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED

Back to top button