บลจ.กรุงไทยเสนอขายตราสารหนี้ 6 เดือนยีลด์ 1.85% ขายตั้งแต่วันนี้-22 กันยายน
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ภาวะหุ้นยังมีความผันผวน แกว่งตัวอยู่ในช่วงแคบๆ จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการพักเงินไว้ในกองทุนประเภทตราสารหนี้ ที่กำหนดระยะเวลา ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร และเป็นกองทุนที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สามารถขายได้เต็มมูลค่าโครงการอย่างต่อเนื่อง และปิดขายก่อนระยะเวลาที่กำหนด
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ภาวะหุ้นยังมีความผันผวน แกว่งตัวอยู่ในช่วงแคบๆ จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการพักเงินไว้ในกองทุนประเภทตราสารหนี้ ที่กำหนดระยะเวลา ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร และเป็นกองทุนที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สามารถขายได้เต็มมูลค่าโครงการอย่างต่อเนื่อง และปิดขายก่อนระยะเวลาที่กำหนด
บริษัทจึงเปิดจำหน่าย อีก 2 กองทุนตราสารหนี้ เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 22 กันยายน 2556 ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ เอ็นแฮนซ์ 32 ( KTFFE32 ) อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภท Medium Term Note (MTN) ที่ออกโดย Banco Latinoamericano de Comercio Exterior , S.A. , MTN ที่ออกโดย Industrial and Commercial Bank of CHINA (Asia ) Ltd. , MTN ที่ออกโดย Standard Bank of South Asrica , เงินฝากประจำ Bank of China (Macau ) , เงินฝากประจำ Turkiye Garanti Bankasi A.S. , เงินฝากประจำ Yapi Kradi Bankasi ผลตอบแทนประมาณ 1.85% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่ ( Roll Over ) ของกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ทอินเวส 6 เดือน 6 (KTSIV6M6 ) เสนอขายถึงวันที่ 18 กันยายน 2558 เน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภท ตราสารหนี้ภาคเอกชน บมจ.เอเชียเสริมกิจลีสชิ่ง บมจ.บัตรกรุงไทย บมจ.เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น บจ.หลักทรัพย์ เคทีซีมิโก้ และบมจ.ราชธานีลิสชิ่ง ในสัดส่วน 87%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝาก ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ผลตอบแทนประมาณ 1.50% ต่อปี
อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุตามแรงขายอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดความเสี่ยงจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจทำให้ประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวตามและทำให้ค่าเงินมีการอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ถึงแม้ปัจจัยพื้นฐานของประเทศยังไม่เอื้อต่อการปรับขึ้นอัตราผลตอบแทนก็ตาม โดยในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิจำนวน 8,396 ล้านบาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย ที่จะมีการประชุมในช่วงเวลาเดียวกันกับการประชุม Fed ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะเริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ
ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุตามแรงขายเพื่อย้ายเม็ดเงินลงทุนกลับไปลงทุนในหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน GDP ของ EU ที่ดีกว่าคาด และจากตัวเลขตำแหน่งงานที่ว่างของสหรัฐอเมริกาที่ดีขึ้น ก่อนจะปรับตัวลดลงบ้างในวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์จากการที่ตลาดกลับมาคาดการณ์ว่า Fed อาจไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ทรงตัวในเดือนสิงหาคมส่งสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี อยู่ที่ 0.71% ต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลง อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 bps.มาอยู่ที่ 1.51% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6 bps.มาอยู่ที่ 2.19% ต่อปี
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นทิศทางเศรษฐกิจโลก และผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ( Fed ) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของช่วงเวลาที่ FED จะเริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของตลาดและต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้