บลจ.กสิกรไทย ออก 2 กองทุนตราสารหนี้ ตปท. ล็อคโอกาสผลตอบแทนแน่นอน ขาย 9-15 ก.พ.
บลจ.กสิกรไทย ขาย 2 กองทุนตราสารหนี้ตปท. ล็อคโอกาสรับผลตอบแทนแน่นอน 9-15 ก.พ.นี้
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยเปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการล็อคโอกาสรับผลตอบแทนที่แน่นอน จำนวน 2 กองทุน โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 9-15 กุมภาพันธ์ 2559 ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน โอ (KFF3MO) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 1.60% ต่อปี โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
โดยกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน ซีเอ็น (KEFF6MCN) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 1.75% ต่อปี โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท และทั้ง 2 กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
ทั้งนี้สัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงในเกือบทุกช่วงอายุ ซึ่งคาดว่าเป็นผลต่อเนื่องจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ 0.1% ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2558 ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงต่อเนื่อง
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ กรณีการประกาศตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่ตลาดคาด และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประจำเดือนมกราคม 2559 ออกมาต่ำกว่าที่คาด ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป และอาจส่งผลให้มีกระแสเงินทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ไทยบางส่วน ทำให้อัตราผลตอบแทนมีโอกาสปรับตัวลดลง
“แนวโน้มภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะสั้น คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลน่าจะมีการปรับตัวลดลง ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียรวมถึงไทย เนื่องจากนักลงทุนหันกลับเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและต้องการหลีกเลี่ยงเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ ตลาดหุ้นซึ่งยังคงมีความผันผวนสูง ประกอบกับปัจจัยเรื่องค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยมองว่าน่าจะยังทรงตัวที่ระดับ 1.50% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นบลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นหรือมีพอร์ตดูเรชั่นตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น”นายชัชชัย กล่าว
สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถบริหารกองทุนรวมในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ทั่วไปให้ได้ผลตอบแทนที่ดี โดยมีถึง 3 กองทุน ที่มีผลตอบแทนโดดเด่น ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นกู้ (K-CBOND) มีผลการดำเนินงานย้อนหลังในช่วง 1 ปี อยู่ที่ 3.21% โดยถือว่ามีผลดำเนินงานเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ขณะที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ (K-FIXED) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 3.53% และกองทุนเปิดเค แพลน 1 (K-PLAN1) มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 3.47% โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีผลดำเนินงานติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว (ข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559)
สำหรับกองทุน K-CBOND จะมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ โดยจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนหรือหุ้นกู้ เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่ากองทุนตราสารหนี้ทั่วไปที่ลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้ภาครัฐเพียงอย่างเดียว ด้านกองทุน K-PLAN1 มีนโยบายลงทุนทั้งตราสารหนี้ภายในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศ และกองทุนสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกิน 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนกองทุน K-FIXED จะมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ โดยมีกรอบเวลาการลงทุนในระยะกลางถึงยาว และเหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนรวมตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งนี้กองทุน K-FIXED เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ณ วันที่ 8 ก.พ. 2559 กองทุนมีขนาดมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 71,872.81 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 285% เมื่อเทียบกับขนาดมูลค่าสินทรัพย์ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีขนาดประมาณ 18,670 ล้านบาท รวมถึงกองทุนดังกล่าวยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมจาก Morningstar Thailand ในปี 2555 และปี 2558 ในประเภทกองทุนตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาว (Mid/Long Term Bond)