LHFund แนะนำ 2 กองทุนใหม่สร้างทางเลือกที่ดีให้แก่นักลงทุน
บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LHFund
บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LHFund มองตลาดหุ้นไตรมาส 2 ยังผันผวนต่อเนื่อง จับตาแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและปัญหาภัยแล้งอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ กดดันตลาดเงินตลาดทุนไทยหนัก แนะนักลงทุนกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ล่าสุดเปิดตัวกองทุนใหม่ 2 กอง ‘LHIP’ และ ‘LHSMART’ ดีเดย์เปิดขายหน่วยลงทุน 26 เม.ย.-10 พ.ค. 59
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LHFund เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นการปรับขึ้นแบบแกว่งตัว จากปัจจัยหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐที่พยายามอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ อีกทั้งกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นในเอเชีย ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสแรกสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนมากกว่า 9% ติดอันดับต้นๆ ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้นั้น LHFund ประเมินว่าได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.5% รวมถึงประเด็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีความเป็นไปได้ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจของจีนยังชะลอตัวต่อเนื่องและตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ถูกปรับลดน้ำหนักดัชนี MSCI Emerging Markets ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทยจะมีความผันผวนมากกว่าช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
ดังนั้น LHFund มองว่า นักลงทุนที่ลงทุนในช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวัง โดยการลงทุนใน REIT หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในไทยและยุโรปรวมถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกันการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
“เราประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ยังมีความผันผวน ปัจจัยที่ต้องติดตามคือเมื่อใกล้ถึงช่วงที่มีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐในเดือนมิถุนายนนี้ อาจเป็นแรงกดดันให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนรวมถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินของแบงก์ชาติในเดือนพฤษภาคมนี้ มีความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากปัญหาภัยแล้งฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งทั้ง2 ปัจจัยจะส่งผลกระทบต่อตลาดตลาดเงินตลาดทุนได้” นายมนรัฐ กล่าว
โดยกรรมการผู้จัดการ LHFund เปิดเผยว่า แม้บรรยากาศตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังต้องเผชิญกับความผันผวน แต่ในปีนี้ LHFund คาดการณ์จะเปิดตัวกองทุนใหม่รวมประมาณ 10-15 กอง เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนและแสวงหาผลตอบแทนที่ดี โดยล่าสุดได้เปิดตัวกองทุนเปิดที่มีลักษณะเด่นในด้านการกระจายการลงทุน (Asset Allocation) 2 กองทุน คือ ‘กองทุนเปิด แอล เอช อินคัม พลัส’ (LHIP) มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสม ที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นตราสารหนี้/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน/หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นส่วนใหญ่ และอาจลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสูง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ สำหรับลูกค้าที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก
ขณะเดียวกันได้เปิดตัว ‘กองทุนเปิด แอล เอช สมาร์ท อินคัม’ (LHSMART) เป็นกองทุนรวมผสมเช่นกัน โดยมีมูลค่าโครงการที่เสนอขาย 2,000 ล้านบาท โดย LHSMART มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีหรือมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูง/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่สามารถลงทุนในตราสารหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือเพื่อลดความผันผวนของตลาดหุ้น เหมาะสำหรับลูกค้าที่สามารถยอมรับความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาได้
อย่างไรก็ตามกองทุนที่เปิดใหม่ทั้ง 2 กองทุนนี้มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงเพื่อจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหน่วยอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับกองทุนอื่นๆที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่น LHTPROP หรือ LHPROP-I โดยทั้ง 2 กองทุนจะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน -10 พฤษภาคม 2559 ในราคาหน่วยละ 10 บาท และไม่กำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำในครั้งแรก นอกจากนี้ LHFund ยังอยู่ระหว่างพิจารณาการเปิดตัวกองทุนที่จะเข้าลงทุนใน REIT ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย