บลจ.ซีไอเอ็มบีฯ ออกกอง Income Fundมูลค่ากองทุน 3 พันลบ.ขาย 11-18 พ.ค.นี้
บลจ.ซีไอเอ็มบีฯ ออกกอง Income Fund มูลค่ากองทุน 3 พันลบ.ขาย 11-18 พ.ค.นี้
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า บลจ.เปิดตัว “กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล สตราทีจิค อินคัม CIMB-Principal Strategic Income Fund (CIMB-PRINCIPAL SIF)” มูลค่ากองทุน 3,000 ล้านบาท เปิดเสนอขายในระหว่างวันที่ 11-18 พฤษภาคม 2559
โดยกองทุน CIMB-PRINCIPAL SIF มีนโยบายการลงทุนกองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝาก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น ทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศ โดยบริษัทจัดการจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละประเภทในสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ตามความเหมาะสมของสภาวการณ์ในแต่ละขณะ นอกจากนี้กองทุนอาจลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายในต่างประเทศและ/หรือที่เสนอขายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ในสัดส่วน ไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
สำหรับกองทุนดังกล่าวใช้กลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ในระยะแรกจะผสมผสานการลงทุนใน “ตราสารหนี้” ที่มีความมั่นคงกับ“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือรีท”คุณภาพดีและมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่ต้องการพอร์ตที่สร้างรายได้ประจำที่สูงกว่ากองทุนตราสารหนี้แต่มีความผันผวนต่ำ โดยผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมและมีกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมอินฟราสตรัคเจอร์ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs ในขณะเดียวกันมีโอกาสที่จะเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นคุณภาพมีการเติบโตและจ่ายเงินปันผลสูง
ด้านความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมุมมองผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เกิน 1-2 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าน่าจะชะลอไปปรับดอกเบี้ยช่วงปลายปีในขณะที่ภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่นยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน QE เพิ่มเติม รวมถึงอัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังมีแนวโน้มคงที่อยู่ในระดับ 1.50% ต่อปี และคาดว่าจะทรงตัวอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้ความต้องการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REITs ของนักลงทุนสถาบันมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดีในขณะที่มีความผันผวนโดยรวมค่อนข้างต่ำ หากเทียบอัตราเงินปันผล (ต่อปี) ของแต่ละสินทรัพย์จะพบว่าอัตราเงินปันผลของ REITs สิงคโปร์อยู่ประมาณ 6.4% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ที่ 6.1% หุ้นไทย 3.6% พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี 2.6% และเงินฝากประจำ 1 ปี 1.5%
โดยกองทุน CIMB-PRINCIPAL SIF เน้นการแสวงหาอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าในแต่ละจังหวะการลงทุน แต่ยังคงให้ความสำคัญในการสร้างพอร์ตแบบ Income Return ทีมผู้จัดการกองทุนจะมีการประเมินปรับน้ำหนักสัดส่วนการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่องให้เหมาะสมตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว ควบคู่การบริหารจัดการความเสี่ยงในการลงทุน อีกจุดเด่นของกองทุนคือ กลยุทธ์การขายทำกำไรในตราสารที่ลงทุนและเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้เพื่อเป็นการล็อคผลตอบแทนให้กับกองทุน
ภายใต้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้การลงทุนมีปัจจัยความไม่แน่นอน เชื่อว่ากองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล สตราทีจิค อินคัม (CIMB-PRINCIPAL SIF) เป็นกองทุนสำเร็จรูปที่เราใช้ทีมผู้จัดการกองทุนทั้งสามทีมทำงานร่วมกันคือ ทีมตราสารหนี้ ทีมลงทุนต่างประเทศ และทีมหุ้น ร่วมกันกำหนดกลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนของกองทุนนี้ เน้นเทคนิคเลือกหลักทรัพย์ลงทุนรายตัวจะสามารถทำให้พอร์ตการลงทุนสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ สามารถสร้าง Income Return ที่เหมาะสมให้กับท่านนักลงทุนได้
พร้อมกันนี้ แนะนำปรับพอร์ตลงทุนสอดคล้องกับภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2559 ที่มีแนวโน้มชะลอตัว และรองรับทิศทางดอกเบี้ยในระดับต่ำ ให้เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำแบบสม่ำเสมอ มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ย โดยที่ไม่มีความผันผวนมากเกินไป ซึ่งทาง บลจ.มองว่าธีม Selection is the Key กลยุทธ์การเน้นเลือกตราสารลงทุนรายตัว หนึ่งในสามธีมการลงทุนหลักที่ทางเราแนะนำในปีนี้ยังคงสอดคล้องกับภาวะการลงทุนในปัจจุบัน
สำหรับทีมการลงทุนของซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลใช้กลยุทธ์ “เลือกลงทุนรายตัว” ในการบริหารจัดพอร์ตการลงทุน เพื่อการสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอจากการคัดเลือกเลือกตราสารลงทุนที่เหมาะสม โดยในส่วนของตราสารหนี้ แนะนำเลือกกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารไม่เกิน 2-3 ปี เพื่อระมัดระวังไม่ให้เงินลงทุนมีความผันผวนจากอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป และสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือรีท ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงกลุ่มโรงแรมและโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยให้เน้นเลือกลงทุนในกลุ่มห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และคลังสินค้า ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาเช่าระยะยาว จึงมีรายได้ค่าเช่ามั่นคง ควรเลือกโครงการที่มีอัตราการเช่าเกือบเต็มและเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง