บลจ.กรุงไทย ขายตราสารหนี้อายุ 3 เดือนผลตอบแทน1.40% ต่อปี ขายถึง 14 มิ.ย.
บลจ.กรุงไทย ขายตราสารหนี้ 3 เดือน ผลตอบแทน1.40% ต่อปี ขายถึง 14 มิ.ย.
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 98 (KTFF98) เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2559 อายุ 3 เดือน เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ประกอบด้วย เงินฝากประจำ ของ Bank of China (Macau) , China Construction Bank ( Asia) Corp.Ltd. , Agricultural Bank of CHINA , Union National Bank PJSC และ First Gulf Bank PJSC ผลตอบแทนประมาณ 1.40% ต่อปี
ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ทอินเวส 3เดือน3 (KTSIV3M3) เสนอขายรอบใหม่( Roll Over ) ถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559 อายุ 3เดือน เน้นลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศ 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝาก ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทนประมาณ 1.30% ต่อปี
ขณะที่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เริ่มกลับมาแข็งค่าจากท่าทีของ Fed ที่อาจจะตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้านี้ ส่งผลให้ตราสารหนี้โดยส่วนใหญ่เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทย รวมถึงราคาทองคำ และกองทุน REITs ราคาน้ำมันยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงเก็งกำไร ขณะที่ตลาดหุ้นแกว่งตัวลดลงในช่วงต้นเดือน และฟื้นตัวในครึ่งเดือนหลัง โดยเฉพาะตลาดพัฒนาแล้ว ส่วนกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีการปรับฐาน หลังจากปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้า ยกเว้น ตลาดหุ้นอินเดียที่ได้รับแรงหนุน จากผลประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่ดีกว่าคาด
ส่วนในเดือนมิถุนายน ให้จับตาดูการตัดสินใจของที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ( Fed) ในวันที่ 14-15 มิถุนายน และการลงประชามติในสหราชอาณาจักร ในวันที่ 23 มิถุนายน 2559 โดยฝ่ายวิจัยของบริษัท คาดว่า Fed จะยังตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอความชัดเจนจากผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักร ว่า จะเลือกคงสถานะในกลุ่มประชาคมยุโรปต่อไปหรือไม่ แต่มีแนวโน้มสูงมากที่ Fed จะเลือกขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม เหตุการณ์ทั้งสอง จะมีอิทธิพลต่อภาวะการลงทุนอย่างมาก ท่าทีของ Fed ต่อความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต จะมีอิทธิผลสำคัญต่อราคาตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงค่าเงิน USD ขณะที่การคงสถานะสมาชิกกลุ่ม EU ของUK จะลดความไม่แน่นอนในการคงอยู่ของ EU ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลก และภาวะการลงทุนในตราสารทุน โดยเฉพาะตลาดพัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ
โดยแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุตามแรงขายทำกำไรสลับกับแรงซื้อกลับ เพราะกังวลว่า Fed มีโอกาสมากที่จะขึ้นดอกเบี้ยในไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยนักลงทุนต่างชาติ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดซื้อสุทธิจำนวน 2,528 ล้านบาท โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 bps. มาอยู่ที่ 1.65% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12 bps.มาอยู่ที่ 1.96% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13 bps.มาอยู่ที่ 2.24% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ